พี่ทุยเชื่อว่าตอนนี้หลาย ๆ คนคงจะมีความรู้ในระดับหนึ่งพอที่จะสามารถทำกำไร หรือหาหุ้นหลาย ๆ เด้งในตลาดได้แล้ว แต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่พี่ทุยไม่อยากให้ทุกคนมองข้ามกัน นั่นก็คือ Mindset การลงทุน เพราะว่า Mindset นี่แหละ ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ วันนี้พี่ทุยเลยจะมาพูดถึงเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังกัน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย..
Mindset การลงทุน คืออะไร ?
Mindset ในการลงทุน คือ ความคิดในหัวของเรา ซึ่งจะเป็นตัวกลั่นกรองและวางแผนทุกอย่างก่อนที่เราจะเริ่มลงทุน โดยความคิดของเราก็ควรที่จะสอดคล้องกับเป้าหมายในการลงทุนของเรา เช่น
- ถ้าเป้าหมายการลงทุนของเรา คือการลงทุนในระยะยาว เราก็ต้องเฟ้นหาหุ้นที่มีพื้นฐานดี และหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ และถ้าหุ้นตกลงมาบ้างในระยะสั้นเราก็ไม่ควรจะตกใจจนเกินไป เพราะอย่าลืมว่าเป้าหมายของเรา คือการลงทุนเพื่อระยะยาว
- ถ้าเป้าหมายของเรา คือการเก็งกำไรในระยะสั้น เราก็อาจจะต้องหาหุ้นที่มีกราฟสวย เกิดสัญญาณซื้อ หรืออาจจะมีข่าวดีเข้ามาในช่วงนั้น ๆ
นักลงทุนมักมองข้ามเรื่อง “Mindset การลงทุน”
จริง ๆ แล้วพี่ทุยว่า Mindset ในการลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญระดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ แต่บางคนก็มักจะมองข้ามไป เพราะมองว่าเสียเวลา และมันดูเหมือนเป็นอะไรที่ไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่ มี Mindset ดีแค่ไหนก็ไม่ได้ทำเงินให้เขา และจะไปให้ความสำคัญกับการความรู้แทน เพราะมองว่าสิ่งที่จะทำกำไรให้ได้ คือความรู้ในการลงทุน
ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่เรามีความรู้เพียงพอที่จะหาเงินได้ แต่พี่ทุยจะบอกว่าถ้าเราอยากอยู่รอดในตลาดหุ้นได้เราควรจะเรียนรู้เรื่อง Mindset ควบคู่ไปด้วย
กว่าจะมี Mindset การลงทุน ที่ดีได้อาจต้องใช้เวลา
ส่วนตัวพี่ทุยว่า โดยส่วนใหญ่แล้วการที่เราจะมี Mindset การลงทุนที่ได้นั้นมันต้องใช้เวลา และประสบการณ์เข้ามาช่วยจริง ๆ เพราะถ้าเรายังไม่ลงทุนเราก็จะยังไม่รู้อารมณ์ของตลาด ไม่รู้จักนิสัยหุ้นแต่ละตัว และที่สำคัญเลย คือเรายังไม่รู้จักข้อเสียข้อตัวเองดีพอ
โดยส่วนมากแล้ว เวลาที่เราเข้ามาในตลาดหุ้นช่วงแรก ๆ พี่ทุยเชื่อว่าในช่วง 1-3 เดือนแรก หลาย ๆ คนอาจจะกำไร แล้วก็มีความหลงระเริงว่า เราทำได้แล้ว มันไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย แต่พอเราอยู่ในตลาดไปเรื่อย ๆ เราจะเริ่มเจอกับกำไรที่น้อยลง และขาดทุนมากขึ้น ซึ่งตรงจุดนี้แหละที่มันจะเอาไว้วัดว่าใครจะได้ไปต่อ หรือไม่ได้ไปต่อ
บางคนที่มี Mindset การลงทุนที่ดีหน่อย เขาก็จะหยิบข้อเสีย หรือไม้ที่ตัวเองขาดทุนมาพิจารณาว่าเขาเข้าซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไร แล้วขาดทุนเพราะอะไร แล้วเขาก็จะพัฒนาจุดอ่อนต่าง ๆ ของเขา แล้วกลับมาใหม่ในตลาด
ส่วนคนที่ยังมี Mindset ในการลงทุนที่ไม่ดีพอ ก็อาจจะโทษนู่นโทษนี่ แต่ไม่โทษตัวเอง สิ่งที่เขาจะได้กลับมา ก็คือเขาจะไม่รู้จุดอ่อนของตัวเอง และจะไม่พัฒนาตัวเอง และสุดท้ายคนนั้นก็จะต้องออกจากตลาดไป
ตัวอย่างเช่น มีแม่ค้าขายกับข้าวอยู่ 2 ร้านติดกัน คือร้าน ก กับร้าน ข ทั้งสองคนเพิ่งเปิดร้านใหม่ ๆ ก็จะอย่างไม่รู้ว่าตัวเองมีจุดดี และจุดอ่อนอยู่ตรงไหน พอเปิดร้านไปเรื่อย ๆ ทั้งสองร้านก็ได้รับคำแนะนำจากลูกค้าว่าอาหารรสชาติจัดไปนิด อยากให้ปรับรสชาติอ่อนลงกว่านี้หน่อย
ร้าน ก ได้ยินแบบนี้ก็ลองเอาจุดนี้มาพิจารณาดู แล้วรู้สึกว่าข้อนี้เป็นจุดอ่อนของตัวเองจริง ๆ แล้วเขาก็ปรับปรุงตัวเอง ทำรสชาติให้อ่อนลงมาลูกค้าก็เข้าร้านเยอะมากขึ้น
กลับกันร้าน ข แม่ค้าไม่ยอมรับฟังคิดแต่ว่านี่เป็นสไตล์ของตัวเอง เวลาผ่านไปก็เริ่มไม่มีลูกค้าเข้าร้าน และแม่ค้า ข ก็ต้องออกจากธุรกิจนี้ไปในที่สุด
5 Mindset การลงทุน ที่นักลงทุนมือใหม่มักทำพลาดในตลาดหุ้น
ซีรีส์การเงินในตอนนี้พี่ทุยได้คัดแนวคิดในการลงทุนที่นักลงทุนมือใหม่มักจะทำพลาด หรือยังไม่เข้าใจดีพอมาให้ 5 ข้อด้วยกัน คือ
1. คิดว่าเทรดบ่อย ๆ ถึงจะดี
ข้อนี้เจอบ่อยมาก ๆ สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาในตลาดใหม่ ๆ ซึ่งพี่ทุยเข้าใจได้ว่าตอนเข้ามาใหม่ ๆ มักอยากจะเทรดบ่อย ๆ ยิ่งเทรดแล้วได้กำไรมันยิ่งสร้างกำลังใจ เวลาเห็นกำไรแล้วก็อยากรีบเพื่อรับรู้กำไร แต่ต้องอย่าลืมว่า “หุ้นเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม” ตามที่เราได้เรียกรู้สายเทคนิคกันไป การที่เราซื้อ ๆ ขายกินคำเล็ก ๆ กำไรน้อย ๆ ไปเรื่อย
แล้วเกิดเจอจังหวะที่ตลาดเทแล้วเราตัดขาดทุน (Cut Loss) ไม่ทันอาจจะกลายเป็นเราขาดทุนคำใหญ่ แต่กำไรคำเล็กในระยะยาวจะทำให้พอร์ตไม่โต หรืออาจจะขาดทุนสะสมไปเรื่อย ๆ ก็เป็นได้
วิธีแก้นั้นง่ายมาก ๆ ต้องคิดไว้เสมอว่าหุ้นเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม และเราจะขายหุ้นก็ต่อเมื่อหุ้นเปลี่ยนแนวโน้มเท่านั้น
2. ต้องเทรดทุกวัน
ข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่เจอบ่อยอีกหนึ่งข้อหนึ่งที่ตลาดลงทุนมือใหม่มักจะทำพลาดคือการคันมือ หมายความว่าเราอยากจะเทรดทุกวันถึงแม้ว่าวันนั้นตลาดจะไม่เอื้ออำนวย แต่เราก็ยังจะเทรด
พอตลาดมันไม่เอื้ออำนวยโอกาสที่เราจะขาดทุนมันก็ยิ่งสูงมากขึ้น วิธีแก้ Mindset ข้อนี้คือในช่วงแรก ๆ เราอาจจะแบ่งพอร์ตไว้ 2 พอร์ต คือพอร์ตหลัก (เงินทุนเยอะ) กับอีกพอร์ตหนึ่งที่เอาไว้เทรดแก้คันมือ ซึ่งพอร์ตนี้เราควรจะเอาเงินทุนใส่ไว้น้อย ๆ
แต่ในระยะยาวแล้วพี่ทุยเชื่อว่าพอเราขาดทุนบ่อย ๆ อาการคันมือมันก็จะเริ่มหายไปเอง และเราจะเริ่มนั่งทับมือตัวเอง (ไม่เทรด) เป็นมากขึ้น
3. คิดว่าเปอร์เซ็นต์ขาดทุนเท่ากับเปอร์เซ็นต์กำไร
พี่ทุยเชื่อว่ามีนักลงทุนบางคนคิดว่าเวลาที่เราขาดทุน เราสามารถเอากลับคืนมาได้ง่าย ๆ เพียงแค่ทำกำไรให้เท่ากับเปอร์เซ็นต์ที่ขาดทุนไป ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่เท่ากัน
ตัวอย่างเช่น เรามีเงินทุนทั้งหมด 100,000 บาท เราเทรดหุ้นแล้วขาดทุนไป 10,000 บาท หรือคิดเป็น 10% ตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่าเราก็แค่หาหุ้นที่ทำกำไรให้เราได้ 10% เงินเราก็กลับมาเท่าเดิมแล้ว แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ เพราะพอเราขาดทุนจากการเทรดในครั้งแรกไป 10% หรือ 10,000 บาท เงินทุนเราจะเหลือ 90,000 เพราะฉะนั้นถ้าเราทำกำไรได้ 10% จากเงินทุน 90,000 เท่ากับว่าเราจะกำไรเพียง 9,000 บาท และเงินทุนเราทั้งหมดจะอยู่ที่ 99,000 บาท ไม่ใช่ 100,000 บาท
ซึ่งถ้าเราเข้าใจตรงจุดนี้มันจะทำให้เราระมัดระวังการขาดทุนมากขึ้น เพราะเวลาที่ขาดทุน เราต้องเหนื่อยมากกว่าเดิมถ้าจะเอาเงินทุนก้อนนั้นกลับมาเท่าเดิมได้
4. เชื่อความคิดคนอื่นมากเกินไป
พี่ทุยเชื่อว่ามีนักลงทุนหลาย ๆ คนที่เราไม่ได้หาหุ้นทำกำไรเองในทุก ๆ ครั้ง เพราะเราอาจจะได้หุ้นมาจากเพื่อนบ้าง หรือคนรู้จักบ้าง ซึ่งถ้าเราได้หุ้นตัวนั้นมา แล้วกำไรก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าขาดทุนนี่แหละ คือปัญหา
วิธีแก้ให้ความคิดนี้ดีขึ้นก็คือ ถ้าในช่วงแรก ๆ เรายังหาหุ้นเองไม่ได้เราอาจจะถามเพื่อนในกลุ่มเรา, ฟังตามกลุ่ม หรือเพจหุ้นต่าง ๆ หรืออาจจะฟังนักวิเคราะห์ของโบรกต่าง ๆ ก่อน แต่ไม่ว่าเราจะหุ้นจากใครมาก็ตาม พี่ทุยแนะนำให้เราเอาหุ้นตัวนั้นมาดู และมาวิเคราะห์เองอีกทีก่อน มันจะทำให้เราได้ฝึกตัวเองมากขึ้น และที่สำคัญ คือถ้าเราจะซื้อหรือไม่ซื้อหุ้นตัวนี้มันก็จะมาจากการตัดสินใจของเราเอง ซึ่งมันจะทำให้เราพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ
5. ลงทุนแบบได้ไม่คุ้มเสีย
ข้อนี้ไม่ใช่แค่นักลงทุนมือใหม่เท่านั้นที่เป็น แต่พี่ทุยเชื่อว่านักลงทุนหลาย ๆ คนก็ยังเป็นอยู่ คำว่าลงทุนแบบได้ไม่คุ้มเสีย หมายถึงกำไรที่เราจะได้ในการลงทุนครั้งนั้นน้อยกว่าการขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นในครั้งนั้น
Risk Reward หาได้จากการเอาจำนวนเงินที่อาจขาดทุนได้จากการลงทุนในครั้งนั้นมาเปรียบเทียบกับกำไรที่เราอาจได้จากการลงทุนในครั้งนั้น
ตัวอย่างเช่น เราเห็นหุ้น ก มีกราฟที่ค่อนข้างสวย และเราวางแผนว่าจะเข้าซื้อที่ราคา 35 บาท แล้วตั้งจะขายที่แนวต้าน 40 บาท แต่ถ้าราคาหุ้นตกลงมาที่ 25 บาท เราจะยอม Stop Loss
แบบนี้เราจะได้ Risk Reward เท่ากับ (10/5) หรือ 2 เท่า หรือหมายถึงถ้ากำไรเราจะได้ 5 บาทต่อหุ้น แต่ถ้าขาดทุนเราจะขาดทุนถึง 10 บาทต่อหุ้น ซึ่งแบบนี้ดูก็รู้แล้วว่าไม่คุ้ม เพราะฉะนั้นถ้าเจอแบบนี้เราไม่ควรที่จะเข้าไปลงทุนถึงมันจะมีโอกาสได้กำไรจริง แต่ถ้าขาดทุนเราจะโดนเยอะมากกว่านั่นเอง
และนี่ก็คือ Mindset ทั้งหมดที่พี่ทุยลองคัดมาให้แล้วว่าเป็นแนวคิดที่นักลงทุนมือใหม่มักจะทำพลาดกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุน คือเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำถูกทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเองในแต่ละครั้ง และแก้ไขข้อเสียข้อนั้น ๆ บวกกับพัฒนาจุดที่ดีแล้วให้ดีขึ้นไปอีก จุดนี้นี่แหละที่จะทำให้เราพัฒนาและเก่งมากยิ่งขึ้น..
เปิดบัญชีกับ LH Securities วันนี้ เรียนฟรีคอร์สเทรดหุ้นออนไลน์
ใครที่อยากเตรียมความพร้อมก่อนลงสนามจริง แนะนำให้เปิดพอร์ตกับทาง LH Securities ตอนนี้ เพื่อรับสิทธิ์เข้าเรียนคอร์สเทรดหุ้นออนไลน์กันแบบฟรี ๆ กับ “คุณเคน – จักรกฤษณ์ กิจการรัฐบุตร , CFP ®” ผู้ร่วมก่อตั้ง Money Buffalo ของเรา ที่จะมาพาจับมือเทรดกันตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 100 ให้ โดยจะเน้นที่การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) วิเคราะห์กราฟกันแบบมันส์ ๆ พร้อมลุยตลาดจริงกันเลย
และที่พี่ทุยแนะนำให้เปิดบัญชีกับทาง LH Securities ผู้สนับสนุนหลักของ ซีรีส์ลงทุนหุ้นเป็นใน 30 วัน นั่นก็เพราะที่นี่ทั้งสะดวก และให้บริการครบ สามารถจบในที่เดียวได้ ตั้งแต่เปิดบัญชี การสมัครบริการตัดเงินบัญชีอัตโนมัติ ไปจนถึงวางหลักประกัน LH Securities ก็มีให้บริการ และที่สำคัญคือสามารถทำทุกอย่างผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย สะดวกและง่ายมาก ๆ
สนใจเปิดบัญชีกับ LH Securities พร้อมดูขั้นตอนแบบละเอียด สามารถทำตามได้แบบ Step by Step คลิกที่นี่เลย
อ่าน EP ต่อไป
ย้อนกลับไปอ่าน EP ก่อนหน้านี้
ติดตามซีรีส์การเงิน “ลงทุนหุ้นเป็นใน 30 วัน” ตอนอื่น ๆ ได้ที่นี่
รูปล่าง ของ mobile
