การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีแนวโน้มรุนแรงและยาวนานมากขึ้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจึงออก “มาตรการช่วยเหลือ SMEs” เพิ่มเติมจาก “มาตรการดูแลเยียวยาโควิด-19 ระยะที่ 3” ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก รวมถึงเป็นแหล่งจ้างงานหลักของประเทศด้วย เพื่อให้มีทั้งสภาพคล่องที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจและรักษาการจ้างงานต่อไปได้ โดยมาตรการที่ช่วยเหลือ SMEs ครั้งนี้ ประกอบด้วย 4 มาตรการหลักด้วยกัน
4 “มาตรการช่วยเหลือ SMEs”
มาตรการที่ 1 : การเลื่อนกำหนดชำระหนี้สำหรับธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยให้ SMEs มีสภาพคล่อง
ในระยะเวลาผ่อนผันนั้นไม่ต้องชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ที่สำคัญช่วงที่ผ่อนปรนหนี้ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต แต่สำหรับ SMEs ที่ไม่ได้รับผลกระทบแนะนำว่าควรชำระหนี้ตามปกติหรือตามความสามารถ เนื่องจากมาตรการนี้จะเลื่อนเพียงวันชำระเท่านั้น แต่ทางธนาคารยังคิดดอกเบี้ยตามปกติ
มาตรการที่ 2 : การสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (soft loan) ให้แก่ธุรกิจ SMEs วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนพิเศษร้อยละ 2 ต่อปี โดยไม่คิดดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก
จุดประสงค์หลักของมาตรการนี้เพื่อเสริมสภาพคล่อง โดยในช่วง 2 ปี ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยอัตราพิเศษที่ 2% ต่อปี โดยช่วง 6 เดือนทางธนาคารจะรับภาระดอกเบี้ยแทนลูกหนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายเรื่องดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ในช่วงนี้
มาตรการที่ 3 : มาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน
เนื่องจากมูลค่าตราสารหนี้เอกชนของไทยนั้นมีมูลค่ามากกว่า 3.6 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่อย่างมาก มีมูลค่าประมาณร้อยละ 20 GDP และในสภาวะนี้อาจจะทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของตลาดตราสารหนี้ได้ ผู้ลงทุนขาดความเชื่อมั่น ทำให้การต่ออายุหนี้ทำได้ยาก (Rollover) จึงเสี่ยงต่อปัญหาการขาดสภาพคล่องจะลุกลามในวงกว้าง ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาเชิงระบบตามมาได้ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมสภาพคล่องเพื่อให้กลไกตลาดทำงานได้ตามปกติ
มาตรการที่ 4 : ลดเงินนำส่ง FIDF ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (สถาบันการเงิน) เพื่อลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ของภาคธุรกิจและประชาชน
การปรับลดเงินนำส่งให้ผลใกล้เคียง คือเหมือนกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดเงินนำส่งจากเดิมร้อยละ 0.46 เหลือเพียง 0.23 เป็นระยะเวลา 2 ปีเพื่อให้สถาบันการเงินไปปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มเติมให้กับประชาชนได้
หน้าที่หลักของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ใช่การบิดเบือนกลไกตลาด แต่เพื่อรักษาเสถียรภาพและลดความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาด และด้วยสภาวะการระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในระบบที่สูงเสี่ยงต่อการลุกลามไปในวงกว้าง ธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมเครื่องมือที่พร้อมใช้เพื่อดูแลเสถียรภาพได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยเองได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิดและพร้อมออกมาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมหากมีความจำเป็น
Comment