ถ้าการลงทุนในหุ้นสามัญ คือ การเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการ แล้วจะมีการลงทุนแบบไหนไหม ที่สามารถ เข้าไปเป็น เจ้าหนี้ของกิจการ ที่มีสิทธิได้รับเงินคืนก่อนเจ้าของกิจการ เมื่อกิจการล้มละลาย นั่น คือ การลงทุนในหุ้นกู้ แล้ว หุ้นกู้ คืออะไร มีความเสี่ยง และแบ่งเป็นแบบไหนบ้าง
หุ้นกู้ คืออะไร ?
หุ้นกู้ คือ สินทรัพย์การลงทุนรูปแบบหนึ่งที่เวลาเราไปลงทุน เราจะรู้ล่วงหน้าเลยว่าได้รับ “ผลตอบแทน” เท่าไหร่ จ่ายผลตอบแทนปีละกี่ครั้ง ก็เหมาะกับคนที่ไม่อยากลุ้นเรื่องผลตอบแทนที่ขึ้นๆลงๆ เช่น ลงทุน 100,000 บาท ในหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทน 5% ต่อปี จ่ายผลตอบแทนปีละ 2 ครั้ง เราก็จะได้ผลตอบแทน ทุก 6 เดือน ครั้งละ 2,500 บาท ง่ายแบบนั้นเลย แล้วพอจบระยะเวลาก็จะได้รับเงินลงทุน 100,000 บาทคืน จบ !!
การออก “หุ้นกู้” ก็คือ การกู้ยืมจากประชาชนทั่วไปแบบเราๆ แทนที่จะไปกู้กับธนาคาร พี่ทุยคิดว่าก็ดีเหมือนกันนะ เพราะเราให้กู้โดยตรงกับบริษัทได้เลย ซึ่งปกติเราเอาเงินฝากธนาคาร ธนาคารก็เอาเงินเราไปปล่อยกู้ต่อเนี้ยแหละ บริษัทก็จะเสียดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกว่าการมาปล่อยกู้ตรงๆ การที่บริษัทมีการออก “หุ้นกู้” แบบนี้ มีข้อดีก็คือ เราได้ดอกเบี้ยเยอะขึ้น บริษัทก็เสียดอกเบี้ยน้อยลง win-win เลยแบบนี้
โดยทั่วไปแล้ว หุ้นกู้ คือ “ตราสารหนี้” ที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการต่างๆ ของบริษัท เช่น เพื่อลงทุนขยายกิจการ ซื้ออุปกรณ์ หรือ เพื่อก่อสร้างโรงงาน เป็นต้น หุ้นกู้สามารถแบ่งออก เป็นหน่วยๆ แต่ละหน่วยมีมูลค่าเท่าๆกัน ในไทย การออกหุ้นกู้โดยทั่วไปมักจะกำหนดมูลค่าหน่วยละ 1,000 บาท
ฐานะ ผู้ซื้อหุ้นกู้ ?
เมื่อเราไปซื้อหุ้นกู้ ก็หมายความว่า เราให้เงินกู้กับบริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้นๆ หรือกล่าวง่าย ๆ คือ เราจะอยู่ในสถานะของ “เจ้าหนี้” และบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นจะอยู่ในสถานะ “ลูกหนี้”
โดยที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ให้คำสัญญาว่า จะจ่ายดอกเบี้ย ตามที่ตกลงกันตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ และจะชำระเงินต้นคืน และดอกเบี้ยงวดสุดท้าย ณ วันครบกำหนดอายุของหุ้นกู้
หุ้นกู้ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นประเภทไม่มีใบหุ้น (Scripless) โดยจะมีการจดบัญชีผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้ที่ศูนย์ รับฝากหลักทรัพย์ ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์สามารถทำได้ สะดวกเช่นเดียวกับ การซื้อขายหุ้นสามัญ
การลงทุนในหุ้นกู้ เหมาะกับใคร ?
การลงทุนในหุ้นกู้ เหมาะกับ ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ และไม่คาดหวังผลตอบแทนที่สูงเหมือนกับหุ้น รวมไปถึงผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากออมทรัพย์
ก่อนซื้อ หุ้นกู้ ต้องรู้อะไรบ้าง ?
ทีนี้ลองมาดูธรรมชาติของหุ้นกู้กันสักหน่อย มีอยู่ 2 ข้อที่ควรรู้ นั่นก็คือ
1. ยิ่ง “เรทติ้ง” ต่ำ “ผลตอบแทน” จะยิ่งสูง
2. ยิ่ง “ระยะเวลานาน” เท่าไหร่ ผลตอบแทนก็จะยิ่งสูง นี่คือกฎเหล็กของหุ้นกู้เลยล่ะ
หุ้นกู้ ต่างกับ หุ้นสามัญ อย่างไร ?
หุ้นกู้ แตกต่างจากหุ้นสามัญ คือ เมื่อซื้อหุ้นสามัญไปแล้ว จะอยู่ในสถานะของ “เจ้าของ” สัดส่วนความเป็นเจ้าของ จะขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นสามัญที่ถืออยู่ อย่างไรก็ตาม การอยู่ในสถานะของการเป็นเจ้าของทำให้ต้องร่วมรับผิดชอบในหนี้สินของบริษัทนั้นๆ ด้วย แต่หุ้นกู้ จะอยู่ในสถานะของเจ้าหนี้ มีสิทธิที่จะได้รับเงินคืนก่อน เมื่อบริษัทนั้น ๆ ล้มละลาย
การจ่ายดอกเบี้ย และ อายุของหุ้นกู้
การจ่ายดอกเบี้ย จะจ่ายปีละ 2 ครั้ง หรือทุกๆ 6 เดือน แต่สำหรับหุ้นกู้บางรุ่น อาจจ่ายปีละ 4 ครั้ง หรือทุกๆ 3 เดือน ก็ได้ ส่วนหุ้นกู้ประเภท Zero-coupon จะไม่มีการจ่าย ดอกเบี้ยเลย
ซึ่งการจ่ายดอกเบี้ย จะยึดตามอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว นั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารจะต้องจ่ายให้กับผู้ถือตราสารตามเวลาที่กำหนดตลอดอายุของตราสารหนี้
อายุของหุ้นกู้ มักจะกำหนดเป็น จำนวนปี เช่น อายุ 3 ปี 5 ปี 7 ปี 10 ปี หรือ ตามแต่จะกำหนด
มาตรฐานที่ใช้ในไทยในปัจจุบันกำหนดให้วันที่ จ่ายดอกเบี้ย จะเป็นวันที่ตรงกันของทุกงวดที่จ่ายดอกเบี้ย เช่น ทุกๆวันที่ 10 ของเดือนมีนาคม และ เดือนกันยายน
ลงทุนหุ้นกู้ขั้นต่ำ เท่าไหร่ ?
จำนวนเงินขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับการขายหุ้นกู้ ให้แก่ประชาชนทั่วไป มักอยู่ระหว่าง 50,000 – 100,000 บาทขึ้นไป ในขณะที่การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ใช้จำนวน เงินเริ่มต้นในระดับต่ำตั้งแต่ระดับ 1,000 บาทจนถึงระดับ 10,000 บาทขึ้นไป
ลงทุน หุ้นกู้ ได้ประโยชน์อะไร ?
1. อัตราผลตอบแทน ในหุ้นกู้
หุ้นกู้ของบริษัทเอกชน มักจะเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ที่มีลักษณะและอายุคงเหลือใกล้เคียงกัน ผลตอบแทน ส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะเป็นการชดเชยให้กับความเสี่ยงที่ เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนถือว่ามี ความเสี่ยงในด้านการผิดนัดชำระหนี้ มากกว่าพันธบัตร รัฐบาล
2. หุ้นกู้เป็นแหล่งรายได้ประจำ
เนื่องจากหุ้นกู้และ ตราสารหนี้จ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆแก่ผู้ลงทุนและจะจ่ายคืน เงินต้นเมื่อครบกำหนดของอายุหุ้นกู้ หากนักลงทุนที่ ต้องการรายได้ประจำ โดยที่เงินต้นของการลงทุนนั้น ยังคงอยู่ครบ จึงอาจพิจารณาลงทุนในหุ้นกู้และตราสารหนี้ อื่นๆไว้ในพอร์ตการลงทุน
3. หุ้นกู้ ทำให้เงินลงทุนมั่นคงปลอดภัย
นักลงทุนควรพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ลงทุน โดยอันดับความน่าเชื่อถือที่สูง ก็ถือว่ามีความปลอดภัยสูง หรือแปลได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระเงินต้นคืน ค่อนข้างต่ำ อันดับความน่าเชื่อถือนี้จะประเมินจาก ประวัติทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ ของผู้ออกหุ้นกู้ ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดให้หุ้นกู้ ที่ออกขายในประเทศไทยจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
อันดับเครดิตยิ่งสูง ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ก็ยิ่งต่ำ และอันดับความน่าเชื่อถือของการลงทุนในตราสารหนี้ จะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ Investment Grade หรือ กลุ่มน่าลงทุน (AAA ถึง BBB-) แต่ให้ผลตอบแทนไม่มาก
และ Speculative Grade หรือกลุ่มเก็งกำไร (BB+- ลงไปจนถึง D) หรือที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Non-Investment Grade หรือ Junk Bond แต่ให้ผลตอบแทนสูง ตามหลัก High Risk, High Return นั่นเอง และสำหรับผู้ลงทุนรายบุคคล จะมีสิทธิลงทุนในหุ้นกู้ที่มีการจัดอันดับเท่านั้น ไม่เปิดให้ลงในหุ้นกู้ที่ไม่มีการจัดอันดับ (Unrated) เพราะความเสี่ยงสูง มีโอกาสสูญเงินต้นเยอะมาก เพราะ ธุรกิจประเภทนี้ เป็นธุรกิจที่อาจจะพึ่งเริ่มต้นกิจการ ประสบปัญหาทางการเงิน หรือบริษัทอาจเติบโตไม่แน่นอน ผันผวนตามตลาด
อีกทั้งอันดับความน่าเชื่อถือยังสามารถขยับขึ้นลงได้ตลอดเวลา โดยบริษัทจัดอันดับเครดิต จะวิเคราะห์จากผลการดำเนินงาน และความเสี่ยงทั้งจากภายในและภายนอก ที่มีผลกระทบต่อบริษัท ซึ่งนักลงทุนจะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตตลอดระยะเวลาการลงทุน
3. หุ้นกู้ช่วยการกระจายความเสี่ยงของการลงทุน
หุ้นกู้อาจถือว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของความต้องการของนักลงทุนในเรื่องการกระจายความเสี่ยง โดยนักลงทุนสามารถกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจประเภทต่างๆ โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือที่หลากหลายได้
4.หุ้นกู้สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้
ข้อดีของการซื้อหุ้นกู้ คือ ซื้อขายแลกเปลี่ยนมือกันได้ในตลาดรอง สามารถซื้อ-ขาย โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันครบกำหนดอายุ แต่สภาพคล่องการซื้อขายอาจแตกต่างกันไปตามขนาดและ เงื่อนไขของแต่ละหุ้นกู้
ความเสี่ยงของ หุ้นกู้ คืออะไร
1. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
หุ้นกู้จะมีมูลค่าสูงขึ้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง และจะมีมูลค่าน้อยลง เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยปัจจัยเรื่องอายุคงเหลือของ หุ้นกู้ก็มีส่วนกระทบในเรื่องความผันผวนของราคา
โดยที่หุ้นกู้ที่มีอายุคงเหลือยาวก็มีโอกาสที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของราคา มากกว่า หุ้นกู้ที่มีอายุคงเหลือน้อยกว่า แต่ถ้าตั้งจะใจจะถือจนครบ ก็ไม่ต้องกังวล เพระา จะได้เงินต้นคืนครบ
ความสัมพันธ์ของอัตราดอกเบี้ย กับผลตอบแทน
เมื่อ “อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น” หุ้นกู้หรือตราสารหนี้ที่จะออกใหม่ในขณะนั้นย่อมต้องกำหนด อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด ซึ่งหมายความว่าอัตราผลตอบแทนใหม่นี้จะต้องสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้หรือตราสารหนี้รุ่นที่ออกมาก่อนหน้านั้น
ดังนั้น นักลงทุนที่จะซื้อหุ้นกู้หรือตราสารหนี้รุ่นก่อนๆ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ย ตลาดในปัจจุบัน ก็ควรจะซื้อในมูลค่าที่ลดน้อยลงหรือ ซื้อใน “ราคาที่ลดลง”
เมื่อ “อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวลดลง” หุ้นกู้หรือตราสารหนี้ที่จะออกใหม่ในขณะนั้น ย่อมจะต้องกำหนด
อัตราผลตอบแทนที่ลดลงตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด อัตราผลตอบแทนที่ว่านี้ก็จะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทน ของหุ้นกู้หรือตราสารหนี้รุ่นที่ออกมาก่อนหน้านั้น ดังนั้น นักลงทุนที่จะขายหุ้นกู้หรือตราสารหนี้รุ่นก่อนๆ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตลาด ในปัจจุบัน ก็ควรจะขายในมูลค่าที่สูงขึ้น หรือ ขายใน “ราคาที่สูงขึ้น”
จะเห็นได้ว่า ถ้าหากลงทุนในหุ้นกู้ที่จ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย แต่อาจลด ความเสี่ยงนี้ได้ เมื่อลงทุนในหุ้นกู้ที่จ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยจะผันแปรไปตาม การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด
2. ความเสี่ยงด้านเครดิต
อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit ratings) เมื่อตัดสินใจที่จะลงทุนในหุ้นกู้ ต้อง พิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้คืน ไม่ว่าจะเป็น ดอกเบี้ยหรือเงินต้นของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ โดยต้องชำระ ครบถ้วนและตรงตามเวลาที่กำหนด ความสามารถ ดังกล่าวสามารถพิจารณาได้จากอันดับความน่าเชื่อถือ ของหุ้นกู้
สถาบันที่ทำหน้าที่จัดอันดับดังกล่าวมีอยู่ด้วยกัน หลายแห่ง ได้แก่ Standard & Poor’s, Moody’s In- vestors service, Fitch IBCA เป็นต้น
สำหรับในไทย มีจำนวน 2 แห่ง คือ บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (Thai Rat- ing and Information Services Co.,Ltd. : TRIS), และ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (Fitch Ratings (Thailand) Limited)
อันดับความน่าเชื่อถือจะแบ่งออกเป็นหลายระดับ โดยทั่วไป หุ้นกู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มลงทุนได้ (Investment Grade) จะได้รับอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB
สำหรับหุ้นกู้ในประเทศไทย สำนักงาน ก.ล.ต.กำหนด ให้การออกหุ้นกู้ใหม่ ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป ไม่ว่าจะเสนอขายต่อผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือ ผู้ลงทุนสถาบันก็ตามต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
3. ความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง (Event Risk)
จากสถานการณ์ที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงมากขึ้นในภาคเอกชน ทำให้ผู้บริหารของบริษัทต่าง ๆ พยายามที่จะ สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การกู้ยืม การปรับโครงสร้างบริษัท การควบรวมกิจการ หรือการเพิ่มทุน
ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผล กระทบต่อการเพิ่มภาระหนี้สินของบริษัทอย่างปัจจุบัน ซึ่งมีผลในเชิงลบต่อมูลค่าหุ้นกู้ ถึงแม้ว่าผู้ออกหุ้นกู้บางรายอาจมีข้อกำหนดเพื่อ ปกป้องสิทธิของผู้ถือหุ้นกู้แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถ ครอบคลุมได้ในทุกๆกรณี ผู้ถือหุ้นกู้จึงต้องรับความ เสียหายที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ผู้ลงทุน ควรให้ความสำคัญต่อบทวิจัยและข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะ ข้อมูลจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงต่อสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงในตลาดก่อนการตัดสินใจลงทุน
ประเภทของ หุ้นกู้
ในกรณีที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ประสบปัญหาต้องเลิกกิจการ หรือประสบภาวะล้มละลาย และไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ ผู้ถือหุ้นกู้จะมีสิทธิในลำดับที่เหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญในการได้รับชำระหนี้จากสินทรัพย์ของบริษัท โดยลำดับก่อนหลังของสิทธิในกลุ่มเจ้าหนี้นั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของหุ้นกู้แต่ละประเภท
1. หุ้นกู้มีประกัน (Secured bonds)
หุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ซึ่งมักเป็นหลักทรัพย์ชนิดต่างๆ มาเป็นหลักประกันแก่ผู้ถือหุ้นกู้ โดยมูลค่า ของสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันนั้นมักมีมูลค่า เท่ากับหรือมากกว่ามูลค่าของหุ้นกู้ที่เสนอขายทั้งหมด
หุ้นกู้ประเภทนี้กฎหมายกำหนดให้มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อเป็นตัวแทนในการตรวจสอบมูลค่าหลักประกันในแต่ละ ช่วงเวลา และดำเนินการฟ้องร้องบังคับหลักประกัน ในกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไข
นอกจากการใช้สินทรัพย์เป็นหลักประกันแล้ว หุ้นกู้มีประกันยังอาจรวมถึงการค้ำประกันโดยนิติบุคคลอื่น (Guaranteed Bond) โดยใช้ความน่าเชื่อถือหรือเครดิต ของบริษัทอื่นมาค้ำประกัน
สำหรับในไทยการค้ำประกันโดยบุคคลที่สาม นั้น มักจะพบเห็นในรูปแบบของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนหุ้นกู้ภาคเอกชนที่เป็น Guaranteed bonds นั้น ตัวอย่างเช่น หุ้นกู้ของ บริษัท โตโยต้าลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (TLTOZNA, TLT084A) ที่ค้ำประกันโดย บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ไฟแนนซ์ (เนเธอร์แลนด์) จำกัด ในต่างประเทศ หรือหุ้นกู้ของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE112A) ที่ค้ำประกันบางส่วนโดย บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) เป็นต้น
2. หุ้นกู้ชนิดที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Unsecured Bond)
หุ้นกู้ที่ไม่มีสินทรัพย์ใดๆ วางไว้เป็นประกันในการออก ซึ่งหากผู้ออกตราสารล้มละลายต้องทำการแบ่งสินทรัพย์กับเจ้าหนี้รายอื่นตามสิทธิและสัดส่วน
3. หุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ คือ (Senior Bond)
ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสิทธิในการเรียกร้องสินทรัพย์จากผู้ออกตราสาร ทัดเทียมกับเจ้าหนี้สามัญรายอื่น ๆ และสูงกว่าผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ และผู้ถือหุ้นสามัญตามลำดับ
4. หุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ (Subordinated bonds)
หุ้นกู้ด้อยสิทธิ มีลักษณะเหมือนหุ้นกู้ทั่วไป แต่ใน กรณีที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ เกิดเลิกกิจการหรือล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทด้อยสิทธิ์นี้ จะได้รับสิทธิในการชำระคืน เงินต้น เป็นอันดับหลังจากผู้ถือหุ้นกู้ประเภทที่มีประกัน และเจ้าหนี้สามัญประเภทอื่น แต่จะได้รับสิทธิชำระคืนเงินก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
โดยทั่วไปแล้ว หุ้นกู้ด้อยสิทธิ จะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิและหุ้นกู้มีประกันเพื่อชดเชยกับสิทธิ
5. หุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุน (Perpetual Subordinated Bond)
หุ้นกู้ประเภทด้อยสิทธิ์นี้ จะได้รับสิทธิในการชำระคืน เงินต้น เป็นอันดับหลังจากผู้ถือหุ้นกู้ประเภทที่มีประกัน และเจ้าหนี้สามัญประเภทอื่น และสิทธิในการไถ่ถอนของหุ้นกู้ตัวนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อบริษัทยกเลิกกิจการไป เป็นการถือแบบไม่มีกำหนด ลักษณะแบบนี้ จึงคล้ายกับการถือหุ้นไปเรื่อย ๆ จึงเป็นไปได้ที่ผู้ลงทุน จะไม่ได้รับคืนเงินต้นระหว่างที่ถือหุ้นกู้นั้น ยกเว้นว่า บริษัทผู้ออกหุ้นกู้อยากจะขอไถ่ถอนคืนและจ่ายเงินต้นคืนให้
รวมไปถึง บริษัทอาจจะไม่จ่ายดอกเบี้ยก็ได้ หรือบางทีก็ยกยอดไปจ่ายงวดอื่นก็ได้ และมักจะกำหนดการจ่ายอัตราดอกเบี้ยลอยตัว นั่นคืออัตราดอกเบี้ยจะไม่คงที่ตลอดไป ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในท้องตลาด ณ เวลาที่จ่ายดอกเบี้ย และบวกอัตราเพิ่มอีกตามความเสี่ยงของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ และจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยใหม่อีกครั้งตามจำนวนปีที่กำหนด (เช่น ทุก ๆ 5 ปี) ผู้ลงทุนจึงอาจได้รับดอกเบี้ยที่สูงหรือต่ำกว่าของเดิมก็ได้ ดังนั้น บริษัทที่ออก “หุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุน” จึงมักให้อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ในอัตราที่สูงเพื่อจูงใจ
ในกรณีที่เราลงทุนไประยะหนึ่งแล้วอยากได้เงินต้นคืนก็สามารถขายให้ผู้ลงทุนรายอื่นได้ แต่มีความเสี่ยงว่าจะขายยาก และอาจจะขายขาดทุนก็ได้ และบางครั้งหุ้นกู้จะกำหนดให้ต้องขายให้เฉพาะกับบางกลุ่มเท่านั้นด้วย เช่น สถาบัน หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่
ลงทุน หุ้นกู้ ต้องเสียภาษี หรือไม่ ?
พี่ทุยจะขอพูดเฉพาะภาษีที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุน หรือ บุคคลธรรมดาเท่านั้น โดยในกรณีที่ผู้ลงทุนเป็น นิติบุคคล รายได้ที่เกิดจากธุรกรรมซื้อขายตราสารหนี้ก็รวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีรายได้เช่นรายได้อื่นๆ
1. รายได้ดอกเบี้ย
รายได้ดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินลงทุนในหุ้นกู้ถือเป็น เงินได้ที่ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับเงินได้ประเภทอื่นๆ โดยจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และมีสิทธิ ที่จะไม่ต้องนำรายได้ส่วนนี้ ไปคำนวณรวมเป็นรายได้ เพื่อเสียภาษี ณ สิ้นปี
2. รายได้จากกำไรและขาดทุน
กำไรจากการขายหุ้นกู้ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี เช่นเดียวกับรายได้ดอกเบี้ย โดยจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตรา 15% และมีสิทธิที่จะไม่ต้องนำรายได้ส่วนนี้ ไปคำนวณรวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี ณ สิ้นปี
3. รายได้จากส่วนลด
ในกรณีของหุ้นกู้ที่ออกเสนอขายในราคาที่ต่ำกว่า มูลค่าหน้าตั๋ว ผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนเมื่อครบ กำหนดอายุของหุ้นกู้ กับราคาจำหน่ายหุ้นกู้ (Discount) “ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี” โดยจะหักจากนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อเป็นคนแรก 15% เช่นเดียวกับภาษีจากดอกเบี้ยและภาษีจากกำไร
ทั้งนี้ นักลงทุน มีสิทธิที่จะไม่ต้องนำรายได้ส่วนนี้ ไป คำนวณรวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี ณ สิ้นปีเช่นเดียวกันกับรายได้จากดอกเบี้ย และรายได้จากกำไร
การลงทุนในหุ้นกู้ก็มีข้อดีที่เราสามารถได้รับเงินต้นคืนทั้งหมด หากเราลงทุนในบริษัทที่มีอันดับเครดิตดี แต่ผลตอบแทนก็จะน้อยตาม
แต่พี่ทุยแนะนำว่าการลงทุนควรกระจายการลงทุนไปในหลายๆ สินทรัพย์ และการลงทุนในหุ้นกู้ ก็ถือได้ว่าเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แต่อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงให้ดีก่อนทุกครั้งนะ