เปรียบเทียบ หุ้นที่ดี vs หุ้นที่ลงทุนได้ นักลงทุนเลือกหุ้นแบบไหนดี ?

3 เทคนิคหา หุ้นดี ราคาถูก ราคาเหมาะสมเข้าพอร์ต

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • วิธีการประเมินราคาหุ้นว่าเหมาะสมหรือไม่ เราควรเข้าลงทุนที่ราคาเท่าไหร่ มีทั้งหมด 3 วิธี แต่วิธีที่นิยมที่สุด คือ P/E เพราะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของวิธีอื่น ๆ ได้ดีที่สุด
  • การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี P/E นี้ จำเป็นต้องคาดการณ์ EPS ในอีก 1 ปีข้างหน้า รวมถึงคาดการณ์​ P/E เพื่อนำ EPS x P/E จึงจะได้ราคาหุ้นที่เหมาะสม
  • การคาดการณ์ราคาหุ้นของแต่ละคน อาจจะออกมาไม่เหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่แปลกแต่อย่างใด เพราะวิธีการคำนวณของแต่ละคนอาจมีความคิดเห็นและมุมมองที่ต่างกัน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ก่อนอื่นเลยสำหรับนักลงทุนสายพื้นฐาน ในการเลือกหุ้นแต่ละตัว เรามักอยากได้ หุ้นดี ราคาถูก หรือที่เรียกว่า “ราคาที่เหมาะสม (Fair Price)” ของบริษัทนั้น ๆ ให้เจอก่อน เพราะถ้า “ราคาในปัจจุบัน” สูงกว่า “ราคาที่เหมาะสม” แปลว่าเราควรขายหุ้นหรือไม่ซื้อหุ้นตัวนั้น แต่ถ้า “ราคาในปัจจุบัน” ต่ำกว่า “ราคาที่เหมาะสม” แปลว่า เราควรจะซื้อหุ้นตัวนั้น

3วิธี ได้ หุ้นดี ราคาถูก

วิธีที่เราจะได้ “ราคาที่เหมาะสม (Fair Price)” ของหุ้นตัวนั้นได้ ก็คือ การประเมินมูลค่าหุ้น มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี คือ

มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ดูยังไง – 3 เทคนิคหา หุ้นดี ราคาถูก

1. ประเมิณมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DDM (Dividend Discount Model)

DDM หุ้นดี ราคาถูก

Dividend Discount Mode หรือ DDM คือ การประเมินมูลค่าหุ้นโดนใช้เงินปันผลที่บริษัทจ่ายออกมาให้กับผู้ถือหุ้น แต่วิธีนี้มีข้อเสีย คือ จะใช้ได้เฉพาะบริษัทที่จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเท่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ว่า บริษัทไหนที่ไม่จ่ายปันผลเราก็จะไม่สามารถประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทนั้นได้เลย ทำให้วิธีนี้อาจจะไม่ค่อยเวิร์คเท่าไร งั้นเรามาดูวิธีที่ 2 กัน

2. ประเมิณมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF (Discounted Cash Flow)

DCF หา หุ้นดี ราคาถูก

วิธีนี้เป็นการประเมินมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างแม่นยำ เพราะว่าใช้หลาย ๆ ตัวแปรเข้ามาประเมิน ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์กระแสเงินสด (Cash Flow) รวมไปถึงการคาดการณ์อัตราผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นต้องการ แต่วิธีนี้ก็มีข้อเสีย คือ การใช้กระแสเงินสดมาเป็นตัวประเมิน อาจจะไม่ถูกต้องสำหรับนักลงทุน เพราะกระแสเงินสดมาจากการที่เราเอากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (เช่น กำไรสุทธิ) มาหักกับกระแสเงินสดจากการลงทุนและกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินนั่นเอง
  • ปัญหาการประเมินแบบ DCF คืออะไร ?

ปัญหาการประเมินแบบนี้ อยู่ที่ว่ากระแสเงินสดไม่ใช่ส่วนที่นักลงทุนแบบเราได้รับ นักลงทุนแบบเราต้องการเห็นกำไรของบริษัทมากกว่ากระแสเงินสด และข้อเสียอีกอย่าง คือ มีโอกาสที่มูลค่าที่แท้จริงจะผิดพลาดได้สูง เพราะการประเมินแบบ DCF ต้องใช้ตัวแปรในการคาดการณ์ค่อนข้างเยอะ ยิ่งตัวแปรมากก็ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดมากตามไปด้วย ดูเหมือนวิธีนี้อาจจะไม่ค่อยเวิร์คอีกแล้ว งั้นเรามาดูวิธีที่ 3 กันต่อ

3. ประเมิณมูลค่าหุ้นด้วย P/E ราคาตลาดต่อหุ้น

PE ใช้หาหุ้นดี ราคาถูก ราคาเหมาะสม

วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุดเลย เพราะเป็นวิธีที่แก้ไขข้อบกพร่องของวิธี DDM และ DCF ได้เป็นอย่างดี และยังช่วยให้เรามีแผนการลงทุนมากขึ้นด้วย วิธีนี้เป็นการใช้ “กำไรสุทธิ” ในการประเมินมูลค่าหุ้น ดังนั้นหุ้นตัวไหนที่ไม่มีการจ่ายปันผลก็ยังสามารถหามูลค่าหุ้นได้ และการใช้ P/E ในการประเมินมูลค่าหุ้นก็จะตัดปัญหาเรื่อง“กระแสเงินสด”ออกไปด้วย และการประเมินด้วยวิธีนี้ มีตัวแปรที่ต้องคาดการณ์น้อย เพราะการหามูลค่าหุ้นโดยใช้ P/E จะมีตัวแปรที่เราต้องคาดการณ์เพียง 2 ตัวเท่านั้น คือ P/E และ EPS เพราะสูตรการคำนวณมูลค่าหุ้นของวิธีนี้ คือ การนำ P/E x EPS นั่นเอง
เปรียบเทียบ หุ้นที่ดี vs หุ้นที่ลงทุนได้ นักลงทุนเลือกหุ้นแบบไหนดี ?

เลือกหุ้นยังไง หุ้นดี ราคาถูก ได้กำไร  – เทคนิคประเมินมูลค่าหุ้นด้วย P/E

พอเราเจอวิธียอดนิยมและดีที่สุดในการประเมินมูลค่าหุ้นแล้ว มาเจาะลึกกันต่อว่า มีขั้นตอนยังไงกันบ้าง ปกติการประเมินมูลค่าหุ้นโดยใช้ P/E มีทั้งหมด 3 วิธี คือ

1. วิธีคาดการณ์ EPS ใน 1 ปีข้างหน้า

เปรียบเทียบ หุ้นที่ดี vs หุ้นที่ลงทุนได้ นักลงทุนเลือกหุ้นแบบไหนดี ?

1.1 เชื่อผู้บริหาร

วิธีเชื่ออัตราการเติบโตตามที่ผู้บริหารบอกถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยเราสามารถหาอัตราการเติบโตที่ผู้บริหารคาดการณ์ได้จากการฟัง Opportunity Day ของบริษัทที่เราสนใจ วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายก็จริง แต่ก็เป็นวิธีที่มีโอกาสผิดพลาดได้สูงที่สุด เพราะโดยทั่วไปผู้บริหารมักจะสื่อสารหนักไปทางด้านดีมากกว่าด้านลบของบริษัทเป็นธรรมดา

หน้าที่ของนักลงทุนแบบเรา ๆ เวลานั่งฟัง Opportunity Day ก็คือ ต้องพยายามฟังสิ่งที่มากกว่าแค่ตัวเลข นั่นก็คือ พวกความมั่นใจของผู้บริหาร แนวโน้มในอนาคต พร้อมกับประเมินความเป็นไปได้ด้วย แนะนำว่าให้ลองฟัง Opportunity Day ย้อนหลังสัก 2-3 ครั้งที่ผ่านมา ว่าผู้บริหารเคยให้เป้าหมายหรือแนวโน้มการเติบโตไว้ อย่างไร แล้วเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงว่าเหมือนหรือแตกต่างกัน ถ้าสามารถทำได้ตามที่พูดไว้อย่างต่อเนื่อง การเชื่อผู้บริหารก็เป็นทางเลือกที่ดี

1.2 อิงกับแนวโน้มเดิม

วิธีนี้เป็นวิธีคาดการณ์กำไรต่อหุ้นหรือ EPS โดยการใช้อัตราการ เติบโตในอดีตมาเปรียบเทียบ ลองดูจากตารางในรูปด้านบนนี้ จะเห็นว่าโดยเฉลี่ยแล้ว EPS (กำไรสุทธิ/จำนวนหุ้นที่บริษัทชำระแล้ว) ของบริษัทเติบโตขึ้นในช่วงปี 2562-2564 (จาก 2.51 บาทต่อหุ้นเป็น 2.88 บาทต่อหุ้น) อยู่ที่ 4.69%(คิดแบบทบต้น)

ดังนั้น ถ้าเราเชื่อในทฤษฎีนี้เราก็สามารถคาดการณ์ EPS ในอีก 1 ปีข้างหน้าได้ว่า น่าจะมีโอกาสที่จะเติบโตอีก 4.69% จาก EPS ในปีปัจจุบันได้หรือเท่ากับ 3.01 บาทต่อหุ้นนั่นเอง

แต่วิธีนี้ก็มีข้อควรระวัง คือ ถ้ามีช่วงเวลาที่ไม่ปกติทั้งทางลบหรือบวก ก็อาจทำให้กำไรสุทธิของบริษัทเปลี่ยนไปได้ ตัวเลขที่คำนวณก็อาจจะคาดเคลื่อนและใช้จริงไม่ได้ อย่างที่ยกตัวอย่างมา ปี 2563-2564 เป็นช่วงโควิด-19 ก็ทำให้ตัวเลขต่างจากช่วงปกติ

1.3 อ้างอิงตัวเลขจากนักวิเคราะห์

วิธีนี้ได้รับความนิยม เพราะไม่ต้องนั่งคำนวณตัวเลข EPS เองแล้ว เพราะการอ้างอิงตัวเลขจากนักวิเคราะห์มาเองเลยจะช่วยทำให้เราเห็นวิธีการประเมินและสมมติฐานความคิดเห็นของคนอื่น ๆ โดยเราเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ www.settrade.com เพื่อเข้าไปดูนักวิเคราะห์ตามโบรกเกอร์ต่าง ๆ ว่าให้ EPS ของหุ้นที่เราสนใจไว้ที่เท่าไหร่บ้าง แต่ก็แนะนำว่าให้เราลองวิเคราะห์ด้วยตัวเองก่อน แล้วค่อยใช้วิธีนี้เปิดเปรียบเทียบกัน พร้อมกับอ่านเหตุผลของการประเมิน เพื่อในอนาคตเราจะสามารถประเมินได้ใกล้เคียงมากขึ้นนั่นเอง

2. วิธีคาดการณ์ P/E

เปรียบเทียบ หุ้นที่ดี vs หุ้นที่ลงทุนได้ นักลงทุนเลือกหุ้นแบบไหนดี ?

2.1 เปรียบเทียบกับตัวเองในอดีต

วิธีการเปรียบเทียบกับตัวเองสามารถทำได้โดยนำ P/E ของหุ้นตัว นั้นในปัจจุบันเทียบกับ P/E ของหุ้นตัวนั้นในอดีต เพื่อดูว่าปัจจุบัน P/E ของบริษัทอยู่ในระดับที่สูงหรือต่ำ ซึ่งวิธีการเปรียบเทียบ P/E ของบริษัทตัวเองในอดีต เราสามารถใช้ค่า P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 3-5 ปีได้เลย

2.2 เปรียบเทียบกับบริษัทที่ทำกิจการคล้ายคลึงกัน

วิธีนี้เราสามารถทำได้โดยการเข้าไปที่ www.set.or.th พิมพ์ชื่อหุ้นที่เราสนใจ จากนั้นไปที่ “Fact Sheet” จะพบกับตาราง “อัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลัง (Adjusted Price)” แบบที่เห็นในรูปด้านบนนี้เลย
  • ถ้าบริษัทที่เราสนใจมีค่า P/E ต่ำกว่าบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายคลึง กัน ถือว่าราคาปัจจุบันของหุ้นที่เราสนใจยังมีราคาถูกอยู่
  • แต่ถ้าค่า P/E ของหุ้นที่เราสนใจสูงกว่าบริษัทที่ทำธุรกิจ คล้ายคลึงกัน เราอาจจะต้องหลีกเลี่ยงหุ้นตัวนี้ไปก่อน เพราะ ราคาอาจจะยังแพงอยู่

3. วิธีหา หุ้นดี ราคาถูก ราคาที่เหมาะสม (Fair Price) ด้วย EPS และ P/E 

เปรียบเทียบ หุ้นที่ดี vs หุ้นที่ลงทุนได้ นักลงทุนเลือกหุ้นแบบไหนดี ?

หลังจากที่เราได้ตัวเลข P/E มาแล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกเทียบกับค่าเฉลี่ยของหุ้นตัวเองในอดีตหรือเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
  • ในกรณีนี้สมมติว่าเลือกเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่เท่ากับ 42.09 เท่า (จากรูปก่อนหน้านี้) (และสมมติให้ EPS = 3.52 เป็นค่ากลางจากการประเมินของนักวิเคราะห์)
  • เราก็นำ P/E มาคูณกับ EPS ก็จะได้ราคาหุ้นที่เหมาะสมในช่วง 1 ปีข้างหน้าออกมาเท่ากับ 42.09 x 3.52 = 148.1 บาท
  • สมมติว่าราคาปัจจุบันของหุ้น A เท่ากับ 104.5 บาท หมายความว่า ถ้าเราซื้อหุ้น A ตอนนี้เราก็จะได้กำไรเท่ากับ 43.6 บาทต่อหุ้น (148.1-104.5 บาท) หรือคิดเป็น 41.72%

อย่างไรก็ตาม การที่เราได้กำไรเท่ากับ 41.72% อาจจะดูค่อนข้างเยอะสำหรับการถือหุ้นในระยะเวลาแค่ 1 ปี แต่อย่าลืมว่าการประเมินต่าง ๆ เป็นเพียงการคาดการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสมมติฐานในอนาคตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของกิจการที่สามารถทำกำไรต่อหุ้น หรือ EPS เท่ากับ 3.52 ที่คาดการณ์ไว้หรือไม่รวมถึงภาพรวมของนักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ยังให้มูลค่าของ “อุตสาหกรรม” อยู่ที่เฉลี่ย 42.09 เท่าหรือไม่ ถ้าหากมีการเปลี่ยนตัวเลขที่เป็นสมมติฐานทั้ง 2 ตัว ก็จะทำให้มูลค่าที่ประเมินเปลี่ยนแปลงไปทันที

การติดตามข่าวสารรวมถึงผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง ควรติดตามงบการเงินทุก 3 เดือนที่มีการประกาศงบออกมาอย่างเป็นทางการว่าเหมือนหรือแตกต่างจากที่ประเมินไว้ตอนแรกหรือไม่ ถ้าหากยังเหมือนเดิมก็สามารถถือลงทุนต่อได้แต่ถ้าแตกต่างจากที่เราประเมินอาจจะต้องกลับมาประเมินมูลค่าหุ้นกันใหม่ เพื่อหาราคาที่เหมาะสมใหม่อีกครั้ง

นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อมีการประเมินมูลค่าหุ้นออกมาแล้วตำ่กว่าราคาตลาดหรือใกล้เคียงกับราคาตลาดมาก เป็นบริษัทที่ดี มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง แต่อาจจะไม่ใช่หุ้นที่เหมาะกับการลงทุนก็เป็นไปได้ เนื่องจากราคาหุ้นขึ้นมาเต็มมูลค่าที่ควรจะเป็นแล้วซึ่ง “นักลงทุนสายพื้นฐาน (Value Investor)” จะเน้นทำกำไรส่วนต่างระหว่าง “ราคา” กับ “มูลค่าหุ้นที่เหมาะสม (Fair Price)” ของหุ้น

ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการหามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมหรือ Fair Price แบบง่าย ๆ ในฉบับมือใหม่ที่เอามาให้ทุกคนได้ดูและลองเอาไปใช้กัน ถ้าใครคิดราคาที่เหมาะสมแล้วไม่เหมือนกันกับคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนะ เพราะความคิดเห็นและการคาดการณ์ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันนั่นเอง

หนังสือหุ้น เข้าใจหุ้นก่อนเข้าซื้อ เทรดหรือถือก็ทำกำไร
สุดท้ายพี่ทุยขอฝากหนังสือหุ้นเล่มแรกของ Money Buffalo ที่ตั้งใจเขียนที่สุดในชีวิต เหมาะกับคนที่อยากลงทุนในหุ้นแต่ไม่รู้จะเริ่มศึกษาจากตรงไหน เล่มนี้จะบอกครบทุกวิธีการเอาชนะตลาดอย่างเป็นระบบ ตอนนี้วางแผงแล้วที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

หรือถ้าใครอยากสั่งออนไลน์มาได้ที่นี่เลย

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile