5 อคติของ "นักลงทุน" ติดกรอบที่ทำให้การลงทุนผิดพลาด

5 อคติของ “นักลงทุน” ติดกรอบที่ทำให้การลงทุนผิดพลาด

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เงินแต่ละหมวดสามารถโอนไปมาได้ แต่เพราะเรามีการทำบัญชีในใจแยกหมวดการใช้จ่ายไว้ให้ไม่สามารถถ่ายโอนไปมาได้ แม้ว่าการทำบัญชีในใจจะมีประโยชน์ในการช่วยเก็บเงิน แต่บางครั้งก็อาจทำให้เกิดอคติในการลงทุน
  • นักลงทุนติดกรอบจะไม่สนว่าสิ่งที่ลงทุนไปเหมาะสมและช่วยกระจายความเสี่ยงหรือไม่ เพราะยังติดกรอบบัญชีในใจ ยึดติดกับราคาสินทรัพย์ที่เคยประเมิน และใช้ข้อมูลไม่รอบด้านในการตัดสินใจลงทุน
  • นักลงทุนติดกรอบสามารถทลายกรอบได้หากมองการลงทุนในภาพกว้าง นึกถึงปัจจัยภายนอก ทำความเข้าใจว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์ในพอร์ตมีความเกี่ยวข้องกัน และสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการลงทุนให้พอร์ตสมดุลขึ้นได้

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

พี่ทุยว่าทุกคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างถึงวิธีการออมเงินแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การแบ่งเงินจากรายได้เป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ตามเป้าหมายการออมของเรา พี่ทุยเคยแบ่งเป็น 3 หมวด ได้แก่

1. หมวดรายจ่ายประจำเดือน 40% เช่น ค่าโทรศัพท์รายเดือน ค่าอินเตอร์เน็ตรายเดือน ค่าห้องพักรายเดือน
2. หมวดเงินออม 30% เช่น เงินฝากบัญชีออมทรัพย์ เงินฝากประจำ กองทุนรวมในตลาดเงินตลาดทุน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
3. หมวดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 30% เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าดูหนัง

สมมติว่าพี่ทุยใช้เงินเกินในหมวดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พี่ทุยก็จะไม่เอาเงินในหมวดเงินออมมาใช้แทนเด็ดขาย ทำให้พี่ทุยก็ต้องขอไปหยิบยืมจากคนในครอบครัวบ้าง จากเพื่อนบ้างโดยที่เขาไม่คิดดอกเบี้ย แล้วพี่ทุยค่อยนำเงินเดือนเดือนต่อไปมาใช้คืน

วิธีการออมเงินแบบนี้มักใช้เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายไล่ไปตั้งแต่ระดับบุคคล ระดับครอบครัว จนถึงระดับองค์กรที่แยกงบประมาณในแต่ละภาคส่วนทำให้งบประมาณแต่ละส่วนไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ซึ่งบางทีอาจจะทำให้พนักงานหงุดหงิดใจได้เช่น บริษัทอาจจะตัดงบค่าล่วงเวลาลงเพราะงบบุคลากรไม่เพียงพอ แต่ยังเดินหน้าเร่งสร้างอาคารใหม่อยู่ หรือในระดับบุคคล การตัดสินใจที่จะเป็นหนี้บัตรเครดิตยอมจ่ายดอกเบี้ยปีละ 20% แลกกับการไม่เอาเงินออมที่ได้ดอกเบี้ยปีละ 5% ออกมาใช้ก็ดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ทั้งๆที่ตามหลักเศรษฐศาสตร์เงินแต่ละหมวดสามารถถ่ายโอนไปมาได้ แต่เพราะเรามีการทำบัญชีในใจ (Mental Accounting) แยกหมวดการใช้จ่ายต่างๆไว้เอง ทำให้เงินไม่สามารถถ่ายโอนไปมาระหว่างหมวดได้

ในมุมของการลงทุน นักลงทุนที่เพิ่งได้กำไรมามีแนวโน้มที่จะลงทุนที่เสี่ยงกว่า เพราะนักลงทุนที่ได้กำไรจะทำบัญชีในใจโดยการแยกบัญชีที่ได้กำไรออกจากบัญชีที่เป็นเงินลงทุนของตัวเอง และพร้อมที่จะเสี่ยงกว่าเพราะคิดว่าเงินนั้นมาจากกำไรถึงลงทุนแล้วเสียก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ใช่เงินลงทุนเริ่มต้นของเรา

ในงานวิจัยของริชาร์ด เธเลอร์ (Richard Thaler) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมหาวิทยาลัยชิคาโก และเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2560 กับนักศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) ให้นักศึกษาเลือกที่จะลงทุนด้วยเงินจริงโดยกลุ่มหนึ่งได้รับเงิน 30 ดอลลาร์ไปลงทุน อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับเงินไปลงทุน และทั้งสองกลุ่มมีสิทธิ์เลือกที่จะลงทุนหรือไม่ลงทุนก็ได้ หากนักศึกษาลงทุนมีโอกาส 50% ที่จะได้เงิน 9 ดอลลาร์เพิ่ม หรือ 50% ที่จะเสียเงิน 9 ดอลลาร์ออกไป แม้ว่าโอกาสที่ทั้งสองกลุ่มจะได้รับผลตอบแทนจะเท่ากัน แต่ผลการทดลองกลับปรากฏว่ากลุ่มที่ได้รับเงินไปลงทุนจะกล้าเสี่ยงลงทุนมากกว่า มีนักศึกษาถึง 70% ที่เลือกลงทุน กลับกันมีนักศึกษาที่ไม่ได้รับเงิน 30 ดอลลาร์ แค่ 40% เลือกที่จะลงทุน การทดลองนี้สรุปว่า เงินของเจ้ามือ (House Money) หรือในตัวอย่างนี้คือเงิน 30 ดอลลาร์ที่นักศึกษาได้มาฟรีจะถูกแยกบัญชีในใจออกจากเงินของตัวเองทำให้นักศึกษากล้าเสี่ยงมากขึ้น

ทีนี้เรามารู้จักอคติในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกรอบของนักลงทุนกันดีกว่า เริ่มกันตั้งแต่อคติการแยกบัญชีในใจ รวมไปถึงอคติอื่นๆรวม 5 อคติ เดี๋ยวพี่ทุยจะอาสาเล่าให้ฟัง..

อคติที่ 1 : คิดว่าเงินเป็นของเจ้ามือไม่ใช่เงินเรา (Mental Accounting)

แม้ว่าการทำบัญชีในใจจะมีประโยชน์ในการช่วยเก็บเงิน แต่บางครั้งก็อาจส่งผลให้เกิดอคติในการลงทุนได้ถ้าไม่ระวัง นักลงทุนจะสร้างกรอบในการลงทุนขึ้นมาซึ่งอาจจะส่งผลต่อผลตอบแทนในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่พี่ทุยได้กำไรจากหุ้นเยอะๆ กำไรที่ได้จะนำมาลงทุนในหุ้นที่เสี่ยงขึ้นเพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยไม่สนใจเรื่องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตเลย เพราะคิดว่าเงินเป็นของเจ้ามือไม่ใช่เงินเรา (Mental Accounting)

อคติที่ 2 : ยึดติดกับราคาหุ้นสูงสุดที่เคยขายได้ (Anchoring Bias)

อีกอคติหนึ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน คือ พี่ทุยยึดติดกับราคาหุ้นสูงสุดที่เคยขายได้ (Anchoring Bias) เมื่อหุ้นตัวเดิมที่ช้อนซื้อมาตอนราคาตกเริ่มราคาขึ้น แต่ยังไม่ถึงราคาสูงสุดที่เคยขายได้ก็จะไม่ขาย จนในที่สุดหุ้นตัวนั้นก็เริ่มราคาตกลงไปน้อยกว่าราคาที่เคยซื้อมา อันที่จริงถ้าตอนนั้นพี่ทุยเป็นนักลงทุนที่มีเหตุมีผลสักหน่อย การดูผลประกอบการของบริษัทและการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเพื่อตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายหุ้นเป็นสิ่งที่ควรทำ

อคติที่ 3 : จำได้เพียงแค่ข้อมูลและข่าวดีเก่าๆเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้ (Conservatism Bias)

แม้ว่าการดูผลประกอบการเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่บางทีข้อมูลทางการเงินก็ดูยุ่งยากเกินไปต้องใช้เวลานานในการทำความเข้าใจ ทำให้พี่ทุยไม่ค่อยได้ใส่ใจข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับหุ้นที่ลงทุนเท่าไหร่ จำได้ก็เพียงแต่ข้อมูลเก่าหรือข่าวดีๆเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้เมื่อคราวก่อน (Conservatism Bias) อคตินี้ยิ่งทำให้พี่ทุยขายหุ้นตัวนี้ได้ช้าลงไปอีก เพราะพลาดรับรู้ข้อมูลทางการเงินใหม่ของบริษัทที่ส่งสัญญาณว่าจะเป็นข่าวร้ายแก่บริษัทได้ช้า

อคติที่ 4 : รูปแบบข้อมูลที่ได้รับทำให้นักลงทุนมีพฤติกรรมการลงทุนต่างกัน (Framing Bias)

วิธีการดูราคาหุ้นของพี่ทุยก็มีผลในอคติเหมือนกัน ช่วงที่พี่ทุยว่างมากจะเข้ามาเช็คราคาหุ้นบ่อยๆ ทำให้เห็นราคาหุ้นในระยะสั้นที่ผันผวนมาก ช่วงที่เห็นหุ้นขึ้นลงบ่อยๆ พี่ทุยก็เลยซื้อขายหุ้นมากกว่าปกติ กลับกันกับช่วงที่ไม่ค่อยมีเวลาเช็คราคาหุ้น จำนวนการซื้อขายก็น้อยลงไป วิธีการที่นักลงทุนได้รับข้อมูลมีผลทำให้นักลงทุนมีพฤติกรรมการลงทุนที่แตกต่างกัน (Framing Bias)

อคติที่ 5 : คิดว่าหุ้นในอุตสาหกรรมที่คุ้นเคยมีความเสี่ยงน้อยกว่า (Ambiguity Aversion Bias)

อคติต่อมาขึ้นอยู่กับทักษะและความรู้ในการลงทุนของนักลงทุน เช่น พี่ทุยมีความคุ้นเคยกับอุตสาหกรรมหนึ่งเป็นพิเศษ พี่ทุยจะคิดว่าหุ้นในอุตสาหกรรมนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นอื่น เพราะความรู้และความคุ้นเคยในอุตสาหกรรม พี่ทุยเลยเลือกที่จะซื้อหุ้นในอุตสาหกรรมนั้นโดยที่ไม่ลงทุนหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นหรือถ้าจะลงทุนก็ต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าหุ้นในอุตสาหกรรมที่คุ้นเคย (Ambiguity Aversion Bias) แน่นอนว่าหุ้นที่พี่ทุยมีก็จะไม่กระจายไปในอุตสาหกรรมที่หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม

นักลงทุนที่ติดกรอบอคติทั้ง 5 นี้จะไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ลงทุนไปนั้น มันเหมาะและช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในพอร์ตการลงทุนที่ตัวเองมีอยู่หรือไม่ เพราะยังติดกรอบบัญชีในใจที่ตัวเองสร้างไว้อยู่ จะตัดสินใจลงทุนโดยยึดติดกับราคาสินทรัพย์ที่เคยประเมินมาและใช้ข้อมูลที่ไม่รอบด้านในการตัดสินใจลงทุน แต่อคติเหล่านี้ก็สามารถแก้ได้หาก

  • คิดถึงผลตอบแทนโดยรวมและเป้าหมายการลงทุนระยะยาวเป็นสำคัญก่อนที่จะกระจายลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างๆเพื่อให้พอร์ตของเรามีการกระจายความเสี่ยงไม่ติดกับดักบัญชีในใจ
  • ตระหนักและคอยถามตัวเองอยู่เสมอว่ากำลังใช้เหตุใช้ผลวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอยู่หรือเปล่า หรือกำลังยึดติดอยู่กับตัวเลขอ้างอิงอะไรอยู่รึเปล่า
  • เปิดรับข้อมูลและคำแนะนำใหม่ๆ แต่หากข้อมูลมีความซับซ้อนไม่คุ้นเคย และยากแก่การทำความเข้าใจให้สอบถามผู้เชี่ยวชาญหรือหาข้อมูลศึกษาเพิ่มเติม (แน่นอนว่าศึกษาได้จาก Money Buffalo แห่งนี้เลยก็ได้ ฮา)

จากนักลงทุนที่ติดกรอบก็สามารถทลายกรอบออกทีละน้อยจนสามารถหลุดออกจากกรอบได้ หากในที่สุดแล้วเราสามารถมองเห็นการลงทุนได้ในภาพกว้าง ตระหนักถึงปัจจัยภายนอก และทำความเข้าใจได้ว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ลงทุนไปในพอร์ตของเรามันเกี่ยวข้องกัน และเราสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการลงทุนทำให้พอร์ตของเรามีความสมดุลมากขึ้นได้

ตามอ่านย้อนหลัง 8 อคติของนักลงทุนเพ้อฝันที่ทำให้การลงทุนผิดพลาด ได้ ที่นี่

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile