ปัจจุบันธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นส่วนสำคัญใน Supply Chain ซึ่งตอบสนองลูกค้าในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจ e-commerce ตราบใดที่ผู้ประกอบการยังมีการผลิตและขนส่งสินค้าและผู้บริโภคยังมีการจับจ่ายใช้สอย ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ก็จะมีทิศทางเติบโตได้ต่อเนื่องสอดคล้องไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยหุ้นที่ทำธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่พี่ทุยจะพาทำความรู้จักวันนี้ก็คือ หุ้น SCGP หรือ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) จะมีความน่าสนใจในการลงทุนแค่ไหน พี่ทุยได้ทำสรุปพร้อมวิเคราะห์แบบเจาะลึกมาให้เพื่อน ๆ นักลงทุนได้เข้าใจง่าย ๆ กัน
หุ้น SCGP ทำอะไร
SCGP หรือ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ประกอบด้วย 2 สายธุรกิจหลัก นั่นก็คือ
1) สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร: บริษัทจำหน่าย ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ (Fiber-Based Packaging) กระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper) และบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ (Performance and Polymer Packaging)
2) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ: บริษัทจำหน่าย บรรจุภัณฑ์อาหาร (Foodservice Products) และผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ (Pulp and Paper Products) ซึ่งส่วนใหญ่ ประกอบไปด้วยกระดาษพิมพ์เขียนและเยื่อกระดาษ
โครงสร้างรายได้ปี 2563
ณ สิ้นปี 2563 SCGP มีรายได้จากการขายสินค้าในปี 2563 เท่ากับ 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปี 2562 จากการที่บริษัทมีลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน แบ่งเป็น
รายได้จากการขายของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในปี 2563 เท่ากับ 79,175 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 85% ของรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2562 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับความต้องการใช้สินค้าอุปโภคบริโภคยังเติบโต อย่างต่อเนื่องแม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และผลจากการดำเนินกลยุทธ์โซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจรของ SCGP เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
ในส่วนของรายได้จากการขายของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษเท่ากับ 15,448 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของรายได้จากการขาย ลดลง 18% จากปี 2562 โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณความต้องการใช้เยื่อกระดาษ และกระดาษพิมพ์เขียนที่ลดลงอย่างมากจากผลกระทบ รวมถึงมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 โดยการปิดสถานศึกษาและนโยบายรณรงค์ให้ทำงานที่บ้าน
ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในภูมิภาคอาเซียน โดยรายได้จากการขายของบริษัท สำหรับสิ้นสุดปีวันที่ 31 ธ.ค. 2563 ที่มาจากลูกค้าในประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 52% ของรายได้จากการขาย ตามมาด้วยรายได้จากการขายของบริษัทที่มาจากลูกค้าจากอินโดนีเซียคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14% เวียดนามคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 11% และฟิลิปปินส์คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% ตามลำดับ
ผลการดำเนินงานปี 2562-2563
หากพิจารณาในงบปี 2563 ท่ามกลางสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากวิกฤตการณ์ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความผันผวนของสภาพเศรษฐกิจ SCGP ยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
มีรายได้จากการขาย ในปี 2563 เท่ากับ 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน จากการที่บริษัทมีลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน อาหารและเครื่องดื่ม สินค้า เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอนามัย การซื้อสินค้าผ่านระบบ e-commerce และการสร้างประโยชน์จากการผนึกพลัง (Synergy) จากการควบรวมกิจการในไทยและอินโดนีเซีย
ในส่วนของ EBITDA หรือกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ในปี 2563 เท่ากับ 16,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน โดยมี EBITDA margin ที่ 18% จากกลยุทธ์การมอบโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามและมีนวัตกรรม และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับกำไรสุทธิเท่ากับ 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 7%
จุดแข็งของ หุ้น SCGP
1. เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน
SCGP ขยายธุรกิจและเสริมศักยภาพการเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ SCGP ที่ผนึกความร่วมมือเป็นพาร์ตเนอร์ ในประเทศต่าง ๆ ทั้งแบบการเติบโตตามตลาด (Organic Growth) เช่น การเพิ่มยอดขาย การขยายกำลังการผลิต และการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Inorganic Growth) ผ่านการเข้าควบรวมกิจการ แบบ Merger & Partnership (M&P) เพื่อแลกเปลี่ยนจุดแข็ง และสร้างประโยชน์จากการผนึกพลังกับพันธมิตร (Synergy)
2. การพัฒนานวัตกรรม สินค้า บริการ และโซลูชันแบบครบวงจร
SCGP มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และนักออกแบบมืออาชีพมากกว่า 35 คน ที่พร้อมสร้างสรรค์และให้บริการแก่ลูกค้า รวมถึงการลงทุนเครื่องจักร และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อใ่ห้สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ที่รองรับความต้องการของผู้บริโภคในหลากหลายอุตสาหกรรมครอบคลุมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ทำให้บรรจุภัณฑ์ของ SCGP กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในทุก ๆ วัน
3. ผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายและครอบคลุมความต้องการของลูกค้าตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายและครอบคลุมความต้องการของลูกค้าตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และยังนำเสนอโซลูชันด้านต่าง ๆ ที่มีนวัตกรรมและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์ อย่างครบวงจรและตอบโจทย์ความต้องการพิเศษของลูกค้า
4. เข้าคำนวณใน MSCI Global Standard
หุ้น SCGP ได้เข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Standard Index มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมานี้ โดยจะส่งผลดีต่อความสนใจและหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศยิ่งขึ้น
5. การประกอบธุรกิจของบริษัทครอบคลุมทั่วภูมิภาคอาเซียน
ในปี 2563 บริษัท มีโรงงานผลิต 42 แห่งใน 5 ประเทศของภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย การที่บริษัทมีการประกอบธุรกิจอย่างครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์นั้น ช่วยส่งเสริมรูปแบบธุรกิจแบบครบวงจรที่ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจขั้นต้นจนถึงขั้นปลาย ของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากจะช่วยสร้างประโยชน์จากการผนึกกำลังร่วมกัน (Synergy) ภายในกลุ่มระหว่างบริษัทย่อยของบริษัทในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น
6. ความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจของผู้ถือหุ้นรายใหญ่
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ SCGP ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 72.1% ของทุนที่ออกและที่ชำระแล้ว โดยกลุ่มบริษัทมีการเข้าทำรายการระหว่างกันที่มีข้อตกลงทางการค้าปกติกับกลุ่ม SCC โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์บางส่วนให้แก่กลุ่ม SCC เช่น ถุงอุตสาหกรรมสำหรับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ บรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูก เพื่อการขนส่ง สื่อโฆษณาเพื่อการแสดงสินค้า และจัดหาวัตถุดิบบางส่วนจากกลุ่ม SCC เช่น ปิโตรเคมี เศษกระดาษรีไซเคิล
อัตราส่วนทางการเงินของ หุ้น SCGP
หากพิจารณาในงบปี 2563
SCGP เคาะราคา IPO 35 บาท/หุ้น โดยราคาปิด ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 41.50 บาท/หุ้นเลยทีเดียว โดยราคาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพของ SCGP ที่มีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรและรายได้ การเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์ และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ e-commerce
“กำไรต่อหุ้น (EPS)” เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับงบปี 2562 โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.95 บาท/หุ้น จากงบปี 2562 อยู่ที่ 1.69 บาท/หุ้น
P/E Ratio จากราคา IPO คิดเป็น P/E ที่ระดับ 22-23 เท่า และในสิ้นปี 2563 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 28.89 เท่า บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต และเมื่อผลประกอบการในอนาคตออกมากำไรเพิ่มมากขึ้น P/E ของ SCGP ก็จะลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมนั่นเอง
โดยหากเปรียบเทียบหุ้นที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันนั่นก็คือ หุ้น UTP หรือ บริษัท ยูไนเต็ด เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) พบว่ามี P/E ที่ระดับเพียง 8.56 เท่า จึงกล่าวได้ว่ามูลค่าหุ้นของ SCGP นั้นแพงกว่า UTP จากการที่นักลงทุนให้ค่าความ Premium ในด้านความผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรของ SCGP นั่นเอง
D/E Ratio ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญจากเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ใน ต.ค. 2563 ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท บริษัทฯ มีแผนที่จะนำเงินที่ได้จาก IPO บางส่วนไปใช้ขยายธุรกิจ ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ตามปกติแล้วบริษัทที่มี D/E Ratio มีค่าที่ต่ำ แปลว่าบริษัทมีภาระหนี้สินที่ต่ำ คือ ใช้เงินส่วนใหญ่ของตัวบริษัทเองในการทำธุรกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงของธุรกิจที่มีน้อย
ในส่วนของ ROA และ ROE ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุจากสินทรัพย์รวมและส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น จากการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ใน ต.ค. 2563 นั่นเอง
ส่วนการจ่ายเงินปันผล SCGP มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 20% ของ กำไรสุทธิตามงบการเงินรวม หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่ตามที่กฎหมายและบริษัทกำหนดไว้ในแต่ละปี
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของ SCGP
1. ให้ความสำคัญต่อผู้บริโภค และเป็นพันธมิตรชั้นนำทางธุรกิจ ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้า
2. มุ่งขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการลงทุนโดยตรงของบริษัท การควบรวมกิจการ และการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
3. พัฒนานวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ การออกแบบ และโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
4. สร้างความแตกต่างทางการแข่งขัน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ร่วมกับการบูรณาการในแนวตั้งของห่วงโซ่การผลิตของบริษัท
อนาคตของ SCGP จะเป็นอย่างไร มีประเด็นอะไรที่ต้องติดตาม ?
1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบหลักและเชื้อเพลิง
กระบวนการผลิตของ SCGP ใช้วัตถุดิบและพลังงานจำนวนมาก โดยวัตถุดิบหลักของบริษัทประกอบด้วยกระดาษรีไซเคิล (RCP) ไม้เยื่อกระดาษบริสุทธิ์ (Virgin Pulp) และสารเคมี ในขณะที่ต้นทุนพลังงานหลักของ SCGP ประกอบด้วยถ่านหินและเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งใช้สำหรับโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานถ่านหินที่ส่งกระแสไฟฟ้าและไอน้ำไปยังกระบวนการผลิตของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาวัตถุดิบหลักและเชื้อเพลิงดังกล่าว มีความผันผวนและมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตผันผวนได้นั่นเอง
2. การลงทุนในเชิงกลยุทธ์ การรวมเข้ากับกิจการหรือธุรกิจที่บริษัท ได้มาจากการเข้าควบรวมกิจการ
SCGP มีกลยุุทธ์ในการเติบโตทางธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการอื่น ๆ ที่มีความสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยความสำเร็จของกลยุุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัท ในการคัดเลือกธุรกิจที่บริษัทจะเข้าควบรวมกิจการ การดำเนินการเพื่อให้ได้มาและการรวมเข้ากับกิจการหรือธุรกิจที่บริษัทได้มาซึ่งประกอบไปด้วยความเสี่ยงหลายประการ
3. การขยายตัวของธุรกิจ e-commerce และธุรกิจอื่น ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของ Mega Trends ที่สำคัญ
การเปลี่ยนแปลงของ Mega Trends นี้ทำให้พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป เช่น การปรับเปลี่ยนไปซื้อสินค้าผ่านช่องทาง e-commerce การให้ความสำคัญกับความสะดวกจากการใช้ผลิตภัณฑ์ และการตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บนแนวคิดเรื่องความยั่งยืน ดังนั้นการออกแบบและรูปแบบของบรรจุภัณฑ์ของบริษัทจึงต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้ในทันที ตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
4. การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ผลกระทบจากการที่รัฐบาลได้ออกข้อจำกัดและมาตรการต่าง ๆ ที่เข้มงวด เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดดังกล่าว อาจทำให้การดำเนินงานมีความล่าช้า เนื่องจากพนักงานที่มีความจำเป็นต้องเข้ามาปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานไม่สามารถเดินทางมาทำงานได้ การจัดส่งวัตถุดิบจากต่างประเทศหรือการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศต้องใช้เวลายาวนานขึ้น เนื่องจากตู้คอนเทนเนอร์เกิดการขาดแคลน หรือการที่ลูกค้าหรือคู่ธุรกิจที่มีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานของบริษัทได้รับผลกระทบ
5. SCGP อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ SCC
SCC เป็นผู้ถือหุ้นทั้้งทางตรงและทางอ้อมใน SCGP โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นไม่น้อยกว่า 70% ของหุ้น ที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัท และจะยังคงมีอำนาจควบคุมบริษัทตราบเท่าที่ SCC ยังคงถือหุ้นเสียงข้างมากใน SCGP ซึ่งอาจมีผลประโยชน์ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของผู้ลงทุนในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทในอนาคต