สรุป “หุ้น MINT” ผู้นำธุรกิจโรงแรมและอาหารในตลาดหุ้นไทย

วิเคราะห์ หุ้น MINT ผู้นำธุรกิจโรงแรมและอาหารในตลาดหุ้นไทย

6 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจโรงแรม รวมถึงธุรกิจจัดจำหน่าย และผลิตสินค้า
  • ผลการดำเนินงานปี 2563 พบว่ารายได้และกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในสภาวะปกติ
  • บริษัทฯ มีการรักษาสภาพคล่อง และรักษาความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัท โดยการขายสินทรัพย์และเช่ากลับ หรือรับจ้างบริหารต่อ รวมถึงออกหุ้นกู้ และการเพิ่มทุน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำธุรกิจอย่าง หุ้น MINT หรือ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล วันนี้พี่ทุยได้ทำสรุป หุ้น MINT แบบเจาะลึก พร้อมวิเคราะห์ มาให้เพื่อนๆนักลงทุนได้เข้าใจง่าย ๆ กัน

หุ้น MINT ทำอะไร ?

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ Sizzler, The Pizza Company, Swensens รวมถึงธุรกิจโรงแรม โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย โครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา ให้เช่าศูนย์การค้า และธุรกิจบันเทิง เป็นต้น โดยมีภาพรวมการประกอบธุรกิจของบริษัท ณ สิ้นปี 2563  ดังนี้

1. ธุรกิจโรงแรม

บริษัทมีโรงแรมทั้งสิ้น 532 แห่ง แบ่งเป็นบริษัทมีโรงแรมที่ลงทุนเองจํานวน 375 แห่ง และมีโรงแรมและเซอร์วิสสวีทที่รับจ้างบริหารอีก 157 แห่งใน 55 ประเทศ โดยครอบคลุมทั่วทวีปเอเชีย โอเชียเนีย ยุโรป อเมริกา และแอฟริกา โดยเครือโรงแรมของ MINT มีแบรนด์มากมาย เช่น Anantara, Avanni, Oaks, NH Hotels เป็นต้น

2. ธุรกิจร้านอาหาร

บริษัทมีสาขาร้านอาหารทั้งสิ้น 2,370 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 1,191 สาขา คิดเป็น สัดส่วน 50% ของสาขาทั้งหมด และสาขาแฟรนไชส์ 1,179 สาขา คิดเป็นสัดส่วน 50% โดยบริษัทมีแบรนด์ร้านอาหารที่เราคุ้นเคย Burger King, Pizza Company, Swensens, Sizzler, Bonchon, Dairy Queen เป็นต้น

3. ธุรกิจจัดจำหน่าย และผลิตสินค้า

บริษัทมีร้านค้าและจุดจำหน่ายสินค้าจำนวน 459 แห่ง โดย 78% เป็นของ กลุ่มแฟชั่น ในขณะที่ 22% เป็นของแบรนด์เครื่องใช้ไลฟ์สไตล์ มีแบรนด์ เช่น Anello, Bossini, Charles & Keith, Esprit เป็นต้น

โครงสร้างรายได้ ปี 2563 ของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT)

สรุป “หุ้น MINT” ผู้นำธุรกิจโรงแรมและอาหารในตลาดหุ้นไทย

ผลการดำเนินงานสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2563 รายได้รวมจำนวน 58,695 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. รายได้จากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม จำนวน 32,826.93 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 55.93%

2. รายได้จากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 19,474.45 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 33.18%

3. รายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายและผลิตสินค้า จำนวน 3,652.59 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 6.22%

4. รายได้อื่น จำนวน 2,741.67 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.67%

ถึงแม้ว่าการระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรม มากกว่าธุรกิจอื่นๆ ของบริษัท แต่ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ มากที่สุด ในสัดส่วน 55.93% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่ไมเนอร์ ฟู้ด มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 33.18% ของรายได้ทั้งหมด ในปี 2563

ผลการดำเนินงาน ปี 2561-2563 ของ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)

สรุป “หุ้น MINT” ผู้นำธุรกิจโรงแรมและอาหารในตลาดหุ้นไทย

หากมาดูผลการดำเนินงานของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ในปี 2563 พบว่า 

บริษัทมีรายได้ตามงบการเงินลดลง 55% จากปีก่อน อยู่ที่จํานวน 58,695 ล้านบาท ส่วน EBITDA หรือกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ตามงบการเงินลดลง 98% อยู่ที่ 546 ล้านบาท ในขณะที่กําไรสุทธิตามงบการเงินลดลงเป็นผลขาดทุนสุทธิจํานวน 21,407 ล้านบาท ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 การปิดร้านอาหารตามมาตรการปิดประเทศ ประกอบกับกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนตัว

ทั้งนี้ เพื่อที่จะรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทได้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ Business Beyond COVID เพื่อกำหนดกลยุทธ์และแผนการพลิกฟื้น ธุรกิจท่ามกลางความท้าทายและความไม่แน่นอน โดยบริษัทได้ระบุและจัดลำดับความสำคัญของแต่ละประเด็น และแบ่งการจัดการกับประเด็นต่าง ๆ เป็นการจัดการในทันที ในระยะกลาง และในระยะยาว

จุดแข็งของ หุ้น MINT

1. เป็นผู้นําในธุรกิจเพื่อการพักผ่อน ร้านอาหารและสินค้าไลฟ์สไตล์

ไมเนอร์ มีธุรกิจโรงแรม 532 แห่ง ร้านอาหาร 2,370 ร้าน และร้านค้า 459 แห่ง ซึ่งให้บริการลูกค้ากว่า 220 ล้านคน ใน 63 ประเทศ โดยไมเนอร์เป็นผู้ประกอบธุรกิจพักผ่อนและสันทนาการที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย และแวดวงธุรกิจของประเทศ

2. ผู้บุกเบิกการทำตลาดเดลิเวอรี่

ไมเนอร์เป็นผู้บุกเบิกการทำตลาดเดลิเวอรี่ ที่มีมาอย่างยาวนานของ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี และร้านอาหารในเครืออีกจำนวนมาก ด้วยจุดเด่นทั้งด้านคุณภาพพนักงานส่งอาหารและการรับประกันความรวดเร็วในการจัดส่ง ซึ่งแบรนด์อื่นๆ ยังไม่สามารถทำได้ อีกทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลการสั่งอาหาร 1112 Delivery เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจากทุกแบรนด์ที่อยู่ภายใต้เครือไมเนอร์ เพื่อกระตุ้นยอดขายของทุกแบรนด์ร้านอาหารไปพร้อม ๆ กัน และช่วยสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มฐานลูกค้าของแต่ละแบรนด์อย่างต่อเนื่อง 

3. บริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Emerging Markets Index (DJSI)

สดงให้เห็นถึงกระบวนการบริหารจัดการของบริษัทที่ให้ความสำคัญต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เราต้องอาศัยอยู่และใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการร่วมกันยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรโลกไปสู่ความยั่งยืนอีกด้วย

4. มีศักยภาพในการเติบโตทั้งในด้านของตัวโรงแรมและชื่อเสียงของแบรนด์ไปทั่วโลก

กลุ่มโรงแรมภายใต้ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปมีความน่าดึงดูด ทั้งในแง่ของทำเลที่ตั้งและคุณภาพของโรงแรม ซึ่งยากที่จะสร้างเครือข่ายได้ใหม่ โดยภายหลังจากการลงทุน กลุ่มโรงแรมดังกล่าว จะยังคงดำเนินงานภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้แก่ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช โฮเทลส์และนาว โดยแต่ละแบรนด์มี เอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวและจุดแข็งเป็นของตัวเอง

5. มีผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่นที่หลากหลายครอบคลุมอาหารหลายประเภท

ไมเนอร์เป็นผู้ประกอบกิจการร้านอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายรูปแบบ เป็นแบรนด์ที่เป็นผู้นำในตลาดและเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในปัจจุบันและมีผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่นหลากหลายครอบคลุมอาหารหลายประเภท ดังนี้

สรุปร้านอาหารในเครือ ของ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)

สรุป “หุ้น MINT” ผู้นำธุรกิจโรงแรมและอาหารในตลาดหุ้นไทย

อัตราส่วนทางการเงิน ของ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)

สรุป “หุ้น MINT” ผู้นำธุรกิจโรงแรมและอาหารในตลาดหุ้นไทย

ถ้าพี่ทุยลองพิจารณางบของบริษัทในปี 2563 พบว่า

-ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ที่ราคาหุ้น ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่ 36.00 บาท เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการดำเนินงาน ของโรงแรมและร้านอาหารของบริษัทฯ

-P/BV Ratio มีค่าที่สูงกว่า 1 บ่งบอกถึงนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตว่าบริษัทฯ จะเติบโตจนมีกำไรสะสมกลับมาช่วยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต เนื่องจากในระยะยาว นักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในฐานการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ และพลิกฟื้นผลประกอบการกลับไปสู่ระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ได้

-กำไรต่อหุ้น (EPS) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำลงเมื่อเปรียบเทียบกับงบปี 2562 โดยปี 2563 กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ -4.71 บาท/หุ้น จากงบปี 2562 อยู่ที่ 2.04 บาท/หุ้น

-ถ้าเราลองดูงบปี 2563 จะไม่สามารถคำนวณหาค่า P/E หรือ กำไรสุทธิต่อหุ้นได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีผลประกอบการขาดทุนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19

-D/E Ratio เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุมาจาก ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น และยังจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่ม โดยมีหนี้สินรวม 286,003 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งเพิ่มขึ้นจํานวน 117,687 ล้านบาท จาก 168,316 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีการควบคุมไม่ให้อัตราส่วนนี้สูงจนเกินไปด้วยการ เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทฯ

-ROA และ ROE  ตามหลักการแล้วยิ่งสูง ยิ่งถือว่าบริษัทนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากดูในงบ ปีพ.ศ.2563 แล้วพบว่า ทั้งสองอัตราส่วนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากกำไรสุทธิที่ลดลงนั่นเอง

-MINT งดจ่ายเงินปันผลในปี 2563 เนื่องจากความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 เพื่อสำรองเงินไว้ในการบริหารสภาพคล่องและเป็นเงินทุนหมุนเวียน

เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของหุ้น MINT

1. พัฒนาศักยภาพของบุคลากร ทั้งภายในองค์กรและคนในสังคมรอบข้าง ผ่านการดำเนินงานด้านการพัฒนาบุคลากร 3 ระดับ คือ กลุ่มสมาชิกชุมชนที่ด้อยโอกาส กลุ่มพนักงาน และกลุ่มผู้บริหารศักยภาพสูงและผู้นำ

2. มุ่งมั่นในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน ผ่านการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวที่ยั่งยืน กับผู้มีส่วนได้เสียที่สำคัญในห่วงโซ่คุณค่า ได้แก่ คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และลูกค้า ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้มีส่วนได้เสียเหล่านี้ มีความสำคัญกับการเติบโต และความสามารถในการแข่งขันของบริษัท

3. การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รอบข้างจากการดำเนินงาน ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง การดำเนินงาน และการปรับปรุงสถานที่ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ วัตถุดิบ น้ำ และพลังงาน จัดการและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากมลภาวะที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ เช่น ของเสีย น้ำเสีย และก๊าซเรือนกระจก

4. ไมเนอร์มีความมุ่งมั่นในการกำกับดูแลกิจการที่ดี และส่งเสริมวัฒนธรรมในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเติบโต อย่างยั่งยืนในระยะยาวและสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้เสีย

5. “การสร้างคุณค่าร่วม” เป็นหนึ่งในปัจจัยเสริมของยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ของไมเนอร์ โดยมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการดำเนินงานที่มี ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการตอบสนอง ความต้องการของสังคมและสิ่งแวดล้อม

อนาคตของ “หุ้น MINT” จะเป็นอย่างไร ? มีประเด็นอะไรที่นักลงทุนต้องติดตาม 

1. การรักษาสภาพคล่อง และรักษาความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัท
บริษัทอยู่ในระหว่างการดําเนินการตามแผนกลยุทธ์การหมุนเวียนสินทรัพย์ในปี 2564 โดยไมเนอร์ โฮเทลส์ได้พิจารณา ขายโรงแรม 4 ถึง 5 แห่ง และอยู่ในระหว่างการเจรจาอย่างจริงจังกับนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลายรายในการขายสินทรัพย์ดังกล่าว และเช่ากลับ หรือรับจ้างบริหารต่อ โดยบริษัทจะใช้เงินสดที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวเพื่อลดระดับหนี้สินของบริษัท เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินต่อไป นอกจากนี้บริษัทยังมีการออกหุ้นกู้ และการเพิ่มทุนเมื่อปี 2563 ที่ผ่านอีกด้วย

2. การฟื้นตัวของธุรกิจหลังทั่วโลกมีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง
MINT อยู่ในฐานะที่พร้อมจะดำเนินธุรกิจเมื่อพรมแดนของแต่ละประเทศกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวและภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ไมเนอร์ โฮเทลส์ คาดว่าการดำเนินงานในทวีปยุโรปจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการเดินทางภายในภูมิภาค ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ส่วนไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงมุ่งขยายตลาดการจัดส่งอาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

3. การเติบโตของตลาดบริการจัดส่งอาหารที่รวดเร็วยิ่งขึ้น 

การระบาดของโควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของตลาดบริการจัดส่งอาหารที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยบริษัทได้มีการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มบริการจัดส่ง อาหาร แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ และคุณค่าของแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง The Pizza Company ที่ได้ขยายขอบเขตพื้นที่ในการให้บริการจัดส่งอาหารในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในขณะที่ Sizzler ได้เปิดตัวเมนูพิเศษบนแอปพลิเคชั่น 1112D และเข้าร่วมแคมเปญกับผู้ใ้ห้บริการจัดส่งอาหารรายอื่นและธนาคาร เพื่อผลักดันยอดขายให้สูงขึ้น นอกจากนี้ Burgerking และ Sizzler ได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการจัดส่งอาหารรายใหม่เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้า

4. การแข่งขันทางธุรกิจ
ปัจจุบันธุรกิจภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง บริษัทต้องแข่งขันกับบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการลักษณะเดียวกันทั้งในระดับสากล ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile