ทองคำโลกพุ่ง แรง 40% แต่ทองไทยขึ้นไม่เท่า ?

ทองคำโลกพุ่ง แรง 40% แต่ทองไทยขึ้นไม่เท่า ? เฉลยปริศนาที่หลายคนยังไม่รู้

   Money Buffalo

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ช่วงนี้หลายคนน่าจะงง ๆ กันอยู่…ทำไมราคา ทองคำโลกพุ่ง แรงทำสถิติใหม่ ผลตอบแทนปีนี้ขึ้นไปแล้วกว่า 40% แต่หันมาดูราคาทองในไทย กลับขึ้นมาแค่ 27% เอง แบบนี้ทองบ้านเราไม่ล้อไปกับตลาดโลกเหรอ ?

จริง ๆ แล้วทองไทยก็ขยับตาม ทองคำโลกพุ่ง อยู่นั่นแหละ แต่ดันมี “ตัวป่วน” อย่างเงินบาท ที่แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี เข้ามากดเอาไว้ พอเอาราคาทองโลกมาคูณกับค่าเงินบาท ก็เลยกลายเป็นว่าราคาทองไทยดูขึ้นไม่แรงเท่าเพื่อนเขา


พูดง่าย ๆ คือ ราคาทองที่เราเห็นตอนนี้ ยังไม่ได้สะท้อนการพุ่งแรงของทองโลกแบบเต็ม ๆ …และนั่นแหละ ที่ทำให้ทองคำยังมีโอกาส “ไปต่อ” ได้อีกสำหรับคนไทย ส่วนมันจะขึ้นต่อเพราะอะไรบ้าง ตามมาอ่านกันฮะ

แต่ก่อนอื่นเลย พี่ทุยอยากให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่า…

ทำไมบาทแข็งถึงกดราคาทองไทยได้ ?

พี่ทุยขออธิบายง่าย ๆ แบบนี้ก่อนว่า ราคาทองคำไทยเนี่ยนะ มันเกิดจากการที่ 

“ราคาทองคำโลก x ค่าเงินบาท “

ยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมุติราคาทองคำโลกเท่ากับ 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และค่าเงิน USD/บาท เท่ากับ 35 บาท ราคาทองคำไทย จะเท่ากับ 126,000 บาท แต่ในทางกลับกัน ทางเงินบาทไทยแข็งค่า เหลือ 32 บาท ราคาทองคำไทยจะเหลือ 115,200 บาท ทำให้เกิดส่วนต่าง 10,800 บาท  เห็นมั้ยครับว่า… แค่เงินบาทแข็งขึ้นมาไม่กี่บาท ราคาทองคำไทยก็ต่างออกไปเป็นหมื่นบาทต่อ 1 ออนซ์เลยทีเดียว ทั้งที่ “ราคาทองโลก” เท่ากันเป๊ะ ๆ อยู่ที่ 3,600 ดอลลาร์ เพราะฉะนั้น เวลาที่เรามองว่า “ทำไมราคาทองไทยขึ้นไม่เท่าทองโลก” จริง ๆ แล้วมันขึ้นไปด้วยกันนั่นแหละ เพียงแต่ถูก เงินบาทแข็งกดเอาไว้ ทำให้คนไทยเหมือนซื้อทองได้ในราคาที่ “ถูกกว่าที่ควร” เมื่อเทียบกับต่างประเทศ

 

แล้วราคาทองคำจะขึ้นต่อไหม ?

นี่แหละคือคำถามที่หลายคนอยากรู้ที่สุด… หลังจากทองโลกพุ่งทะลุจุดสูงสุดใหม่ แล้วทองไทยก็ตามขึ้นมา (แม้จะไม่แรงเท่า) แบบนี้ต่อไปมันยังจะขึ้นอีกหรือเปล่า ? พี่ทุยว่าเราต้องดู 3 ข้อนี้ก่อน 

1.ค่าเงินดอลลาร์กับแนวโน้มโน้มดอกเบี้ย

ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจต้อง “ลดดอกเบี้ย” ภายในปีหน้า เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว การลดดอกเบี้ยทำให้ผลตอบแทนของเงินดอลลาร์ลดลง นักลงทุนจึงมักเปลี่ยนจากการถือเงินสดหรือพันธบัตร มาถือทองคำแทน เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองคำในตลาดโลกจึงมีโอกาสขยับขึ้นต่อ และนั่นหมายถึงแรงซื้อใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาหนุนราคาทองอย่างต่อเนื่อง

2.เงินเฟ้อและความไม่แน่นอน

ทองคำมักถูกเรียกว่า “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) เวลาที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ปีนี้ยังมีหลายประเด็นที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกไม่มั่นใจ เช่น

  • เงินเฟ้อที่ยังไม่กลับสู่เป้าหมาย 2% ของหลายประเทศ
  • ความขัดแย้งทางการเมืองในหลายภูมิภาค
  • ภัยธรรมชาติและต้นทุนพลังงานที่ผันผวน

ทั้งหมดนี้ยิ่งผลักให้นักลงทุนหันกลับมาหาทองคำมากขึ้น เพราะทองไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครดิตของใคร และไม่เสี่ยงจากการล้มละลายเหมือนหุ้นหรือพันธบัตร

3.เงินบาทแข็งที่เข้ามากดราคาทองไทย

ในขณะที่ทองคำโลกอาจพุ่งขึ้นต่อ ราคาทองไทยกลับอาจ “ขึ้นช้ากว่า” เพราะค่าเงินบาทแข็งยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ หากเงินบาทยังอยู่ในช่วงแข็งค่า ราคาทองไทยเมื่อแปลงจากดอลลาร์ก็จะดูไม่สูงมาก แปลว่า…ใครที่มีทองอยู่แล้วอาจรู้สึกหงุดหงิด แต่ใครที่กำลังจะซื้อทองตอนนี้ ถือว่า “ได้เปรียบ” เพราะเรายังได้ทองในราคาที่ถูกกว่าตลาดโลก

 

สำหรับนักลงทุนไทย ซื้อทองตอนนี้ได้เปรียบจริงหรือ ?

จากกลไกที่อธิบายมาข้างต้น ทำให้เกิดคำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนไทยที่กำลังมองหาโอกาสในตลาดทองคำ การที่ราคาทองไทยถูกกดไว้ด้วยเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้เรา “ได้เปรียบ” ในการซื้อทองคำจริงหรือไม่?

คำตอบคือ “ใช่” เพราะเมื่อพิจารณาในแง่ของมูลค่าเปรียบเทียบ (Relative Value) คนไทยกำลังซื้อทองคำในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น หากไม่มีปัจจัยค่าเงินบาทเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่คือข้อสรุปและแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ที่สนใจ:

 

1. ความได้เปรียบในการ “ซื้อสะสม”

 

  • ราคาทองคำโลกเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก: หากคุณเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐาน (การลดดอกเบี้ยของ Fed, เงินเฟ้อ, ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์) จะผลักดันให้ราคาทองคำโลก (USD/ออนซ์) พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การซื้อทองคำในไทย ณ จุดนี้จึงเป็นโอกาสดี
  • ซื้อในขณะที่ “ลดราคา”: การที่เงินบาทแข็งค่าทำหน้าที่คล้ายการ “ลดราคา” (Discount) ให้กับทองคำโลก เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท ทำให้คุณสามารถซื้อทองคำโลกได้ในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อนในต่างประเทศ

 

2. โอกาส “ทำกำไรสองเด้ง”

ผู้ที่ซื้อทองคำในไทยขณะนี้ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจาก 2 ปัจจัยหลักในอนาคต:

  1. กำไรจากราคาทองคำโลก (USD): เมื่อราคาทองคำโลกพุ่งสูงขึ้นตามปัจจัยพื้นฐานที่กล่าวมา
  2. กำไรจากค่าเงินบาท (บาท/USD): หากในอนาคต เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง (เช่น จาก 32 บาท/USD เป็น 35 บาท/USD) ส่วนต่างของราคาทองคำที่ถูกกดไว้จะถูก “ปลดปล่อย” ออกมา ทำให้ราคาทองคำในประเทศพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและเต็มที่ ซึ่งเป็นการทำกำไรซ้ำซ้อนจากอัตราแลกเปลี่ยน

 

3. ข้อควรระวัง: ความเสี่ยงจากค่าเงินบาทยังคงอยู่

แม้จะมีโอกาสได้เปรียบ แต่ความผันผวนของค่าเงินบาทก็ยังคงเป็น “ความเสี่ยง” ที่ต้องจัดการ หากราคาทองคำโลกเริ่มปรับตัวลดลง แต่เงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว (เช่น แข็งค่ากว่าปัจจุบันมาก) ผลขาดทุนของคุณก็จะถูกซ้ำเติมจากทั้งสองทาง

สรุปง่าย ๆ คือ ราคาทองคำไทยที่ขึ้นไม่เท่าทองโลก ไม่ได้เกิดจากตลาดไทยขยับช้า แต่เป็นเพราะ “ค่าเงินบาทแข็ง” ที่เข้ามากดเอาไว้ ในมุมของนักลงทุนไทย ถือว่าเป็น “จังหวะทอง” ที่น่าสนใจ เพราะเรากำลังได้ทองคำในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง หากในอนาคตค่าเงินบาทกลับมาอ่อนลง หรือทองโลกยังพุ่งต่อ ราคาทองไทยก็มีโอกาสทะยานตามทัน สุดท้ายแล้ว ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ควรมีติดพอร์ตไว้เสมอ ไม่ว่าจะเพื่อป้องกันความเสี่ยง หรือเป็นทางเลือกกระจายการลงทุน เพราะต่อให้ไม่ใช่สินทรัพย์ที่หวือหวา แต่ทองก็ยังคง “เปล่งประกาย” ได้ทุกยุคทุกสมัยครับ

ติดตามพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่

ไม่รู้จะลงทุนอะไรดี ? รู้จัก 9 กองทุน ETF สุดฮิตระดับโลก

 

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile