Fed ปรับดอกเบี้ย ทำไมสะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก ?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • Fed หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จัดตั้งขึ้น เพื่อมุ่งสร้างความมั่นคงของราคาและกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานอย่างยั่งยืนหลังเศรษฐกิจบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายทางการเงินให้กับสหรัฐฯ 
  • นับตั้งแต่เกิด Great Inflation ปี 1980 Fed ออกนโยบายปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพื่อต้านภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งเข้าไปมีส่วนช่วยในการแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินอีกหลายครั้ง ทั้ง Great Recession, ยุคหลัง Great Recession, ยุค COVID-19 และปัจจุบันที่ภาวะเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง
  • เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา Fed ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.5% ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2000 ส่งผลให้ดอกเบี้ยและมูลค่าตลาดลงทุนได้รับผลกระทบอย่างหนัก อีกทั้งหลายคนต่างจับตาดูการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป เพื่อต้านภาวะเงินเฟ้อที่ต้องเผชิญหลังเศรษฐกิจฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดโควิด

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

หุ้นตก คริปโตร่วง ดอกเบี้ยแพง ต้องจับตาภาวะเงินเฟ้อ…พี่ทุยเชื่อว่านี่คงเป็นประเด็นร้อนที่ต้องหยิบมาพูดถึงในช่วงนี้แน่นอน เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลัง Fed ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ไปเมื่อต้นเดือน พ.ค. โดยล่าสุด Fed ได้วางแผนปรับขึ้นดอกเบี้ย อีก 7 ครั้งตลอดปีนี้ ยาวไปถึงปี 2023 ระหว่างรอให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น พี่ทุยอยากพาผู้อ่านไปดูการ “ปรับดอกเบี้ย” ของ Fed ที่ผ่านมาในอดีตว่าเป็นอย่างไรบ้าง บอกเลยว่า การปรับแต่ละครั้งล้วนส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์สำคัญทางการเงินและเศรษฐกิจโลกไม่น้อยทีเดียว 

ทำความรู้จัก Fed คืออะไร สำคัญอย่างไร

ก่อนอื่นพี่ทุยขอพาไปทำความรู้จัก Fed ให้พอเข้าใจว่าองค์กรนี้คืออะไร ทำอะไรบ้าง ทำไมช่วงนี้ถึงถูกพูดถึงบ่อยเหลือเกิน ลองมาดูสรุปฉบับเข้าใจง่ายกับพี่ทุยกัน

Fed หรือ The Federal Reserve System คือ องค์กรที่รวมธนาคารกลางส่วนภูมิภาคอีก 12 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ไว้ด้วยกัน โดยหมายเลข 1-12 จะแทนหัวใจสำคัญของระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ละอย่าง และมีกลุ่ม FOMC (The Federal Open Market Committee) ออกนโยบายการเงินให้กับสหรัฐฯ ด้วย  

เป้าหมายระยะยาวของ Fed คือคงอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% เพื่อไปให้ถึงหัวใจสำคัญ 2 ข้อ ว่าด้วยการสร้างเสถียรภาพของราคาและเร่งให้เกิดการจ้างงานอย่างยั่งยืน 

สิ่งที่ Fed ทำนั้นจึงมีทั้งออกนโยบายการเงิน เสริมความมั่นคงให้กับระบบการเงิน กำกับดูแลกิจกรรมและสถาบันการเงิน กระตุ้นการใช้จ่ายและระบบการเงินให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกระตุ้นการปกป้องผู้บริโภคและพัฒนาชุมชน ทั้งหมดนี้ นำมาสู่การปรับใช้วิธีทำงานในรูปแบบนโยบายต่าง ๆ ที่มักพบเห็น ได้แก่

  • ดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open market operations) ซื้อขายหลักทรัพย์ของรัฐบาลสหรัฐฯ 
  • ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (Reserve requirements) คงอัตราการฝากของธนาคารพาณิชย์
  • ปรับดอกเบี้ย (Interest on reserves) ปรับอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับธนาคารพาณิชย์
  • อัตราคิดลด (Discount rate) เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันรับฝากเงินที่ยืมเงินจากธนาคารกลาง 

ส่องนโยบาย “ปรับดอกเบี้ย” ของ FED ผ่านปรากฏการณ์เศรษฐกิจโลก

จากข้างต้น หลายคนคงพอเห็นภาพรวมคร่าว ๆ ของ Fed กันบ้างว่าเป็นอย่างไร หากอยากรู้ว่านโยบาย Fed สะเทือนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทั่วโลกอย่างไร พี่ทุยได้คัดสรรเหตุการณ์ที่ Fed เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขเศรษฐกิจแต่ละช่วงเวลาไว้แล้ว 

1981 – 1990 ช่วงเวลาต่อสู้ Great Inflation

ปี 1980 คือช่วงที่ Fed ปรับอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดช่วงหนึ่ง เพราะต้านกระแสเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ก็คือ 14.6% หรือที่รู้จักกันในชื่อ Great Inflation

เหตุการณ์ดังกล่าวกินเวลาเกือบ 20 ปี (ตั้งแต่ 1965 – 1982) โดยเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นปีละมากกว่า 1% นับตั้งแต่ 1964 ต่อเนื่องนานถึงหกปี จนมากกว่า 14% ในปี 1980 ก่อนลดลงมาเฉลี่ย 3.5% ในช่วงครึ่งหลังของปี

นักวิเคราะ์ทางการเงินหลายคนถกเถียงถึงต้นเหตุของ Great Inflation ว่ามาจากนโยบาย Fed ที่เอื้อให้อุปทานหรือปริมาณเงินเพิ่มขึ้นเกินขีดจำกัด

ย้อนกลับไปหลังเกิด Great Depression ไม่นาน สภาคองเกรสมุ่งให้ความสำคัญกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งก็คือ Employment Act of 1946 หรือกฎหมายส่งเสริมการจ้างงาน การผลิต และกำลังซื้อ รวมทั้งสร้างนโยบายทางการเงินที่สอดคล้องกัน กฎดังกล่าวกลายเป็นเป้าหมายหลัก 2 อย่างของ Fed คือ รักษาการเติบโดทางการเงินระยะยาว และกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานมากที่สุด มูลค่าราคามีความเสถียร และดอกเบี้ยคงเดิมในระยะยาว 

สหรัฐฯ และหลายประเทศที่ถูกเลิกจ้างงานได้ยึดหลักเศรษฐศาตร์ของเคนส์ (Keynesian) มาปรับใช้ตลอดช่วงปี 1930 โดยมุ่งเน้นจัดการอุปสงค์มวลรวม หรือพูดง่าย ๆ คือ จัดตั้งนโยบายเก็บภาษีและนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง แม้จะปรับใช้นโยบายกระตุ้นความมั่นคงทางเศรษฐกิจตลอด 1960 -1970 ก็ยังเกิดเงินเฟ้อและมีคนตกงานอยู่มาก แถมหลายคนเชื่อว่า ยิ่งคนตกงานต่ำเท่าไหร่ อาจนำมาสู่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มมากขึ้น

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การผูกเงินดอลลาร์ฯ กับทองคำ ช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดระบบการเงิน Bretton Woods ซึ่งเหล่าประเทศอุตสาหกรรมมุ่งเน้นกิจการส่งออกทั่วโลก โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ของการแลกเปลี่ยนสกุลเงินโลกกับเงินดอลลาร์ฯ รวมทั้งผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำ เพราะหวังว่านโยบายเหล่านี้จะช่วยให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความสงบได้

แต่การปรับใช้อัตราคงที่นั้นขัดกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจแต่ละประเทศ กลายเป็นว่าทุกประเทศต่างเร่งดำเนินนโยบายการเงินที่เอื้อให้เกิดอัตราเงินเฟ้อและการว่างงานมากขึ้น 

ที่สำคัญ ความต้องการสำรองเงินดอลลาร์ฯ ก็เพิ่มขึ้นตามการเติบโตส่งออกของโลก โดยสหรัฐฯ ขาดดุลการชำระเงินอย่างหนัก ในขณะที่ธนาคารกลางหลายประเทศต่างเก็บสำรองเงินดอลลาร์ฯ มากขึ้นเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ คือ ประเทศอื่นมีเงินดอลลาร์ฯ สำรองคลังที่นำมาแลกทองคำสหรัฐฯ เกินจำนวนทองคำสำรองของสหรัฐฯ สะท้อนว่าสหรัฐฯ คงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศกับทองคำไม่ได้ ส่งผลให้ประธานาธิบดี Nixon ยุติการรับแลกทองคำเมื่อปี 1971 

เหตุการณ์ครั้งนี้ยังทำให้เงินดอลลาร์ฯ และสกุลเงินทั่วโลกไม่ถูกตรึงอีกต่อไป (ยกเว้นตอนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก) ถือเป็นครั้งแรกที่สกุลเงินในประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มาอยู่ในรูปเงินกระดาษที่แปลงค่าไม่ได้

กลับมาที่ Fed จุดมุ่งหมายตอนนั้นคือ ทำให้มูลค่าเงินกลับมาลดลงเหมือนเดิม โดยเริ่มต้นปรับดอกเบี้ยจากเดิมอยู่ที่ประมาณ 14% เมื่อ ม.ค. ปี 1980 เพิ่มขึ้นมา 2% จนไต่มาถึงช่วงระดับ 19-20% เมื่อธันวาคมปีเดียวกัน ซึ่งถือว่าสูงมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

จากนั้นอัตราดอกเบี้ยก็ลดลงรวดเร็ว โดยครั้งแรกตกลงมาอยู่ที่ 13-14% เมื่อ พ.ย. ปี 1982 แล้วลดลงมาอีกอยู่ที่ 11.5-12% ช่วงที่เกิดราคาผันผวน อัตราดอกเบี้ยก็ไม่ลดลง 10% ตั้งแต่ พ.ย. ปี 1984 โดยอัตราดอกเบี้ยของ Fed อยู่ที่ 9.97% ตลอดสิบปีนี้

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การทำงานของ Fed ช่วงนี้มักปรับอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนไปมาเป็นอย่างมาก แทนที่จะค่อย ๆ ลดหรือเพิ่มดอกเบี้ยไปในทางใดทางหนึ่ง กลับปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น-ลงไม่แน่นอน แถมยังจัดแถลงปรับอัตราดอกเบี้ย โดยไม่นัดหมายล่วงหน้า หรืออาจไม่มีแถลงการณ์เลย ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การนำของ Paul Volcker ก่อนถึงจะถึงยุคของ Alan Greenspan มารับช่วงต่อเมื่อปลาย ส.ค. ปี 1987

1991 – 2000 ยุค FED ภายใต้การนำของ Greenspan ฝ่าภาวะ Recession

ต่อเนื่องมาจากช่วง Great Inflation แม้ช่วงสิบปีนี้อาจไม่ร้อนแรงเท่าตอนเงินเฟ้อก่อนหน้า แต่ Fed ภายใต้การนำของ Greenspan ต้องรับมือภาวะถดถอยช่วงต้นทศวรรษพอสมควร 

ภาวะถดถอยหรือ Recession เกิดขึ้นประมาณ ก.ค. ปี 1990 – มี.ค. ปี 1991 ถือเป็นภาวะถดถอยครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 1980 ส่งผลต่อการประกอบธุรกิจและนโยบายการเงิน รวมทั้งสะท้อนความสำคัญของตลาดการเงินที่มีต่อสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก 

ช่วงปลายปี 1982 – กลางปี 1990 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีอัตราเติบโตแข็งแกร่ง ว่างงานน้อยลง และเงินเฟ้อต่ำ ถึงอย่างนั้น ก็เกิดปัญหาอื่นตามมา โดยตลาดหุ้นร่วงทั่วโลกเมื่อ ต.ค. ปี 1987 หลายคนเห็นว่านี่เป็นสัญญาณที่ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจเกิดเงินเฟ้อ อันเป็นผลจากสหรัฐฯ ขาดงบดุลฯ ครั้งใหญ่ 

ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อบ้านล้มละลายเมื่อครึ่งปีหลัง 1980 สมาคมการออมและเงินกู้ หรือ S&L (Savings and Loans) ล่มสลาย กระทบต่อสวัสดิการครัวเรือนของชาวอเมริกันจำนวนมาก รัฐบาลถูกเร่งรัดให้ช่วยเหลือผู้คน ส่งผลให้ตรึงงบประมาณมากขึ้น 

หากอ้างอิงจากผลการศึกษาเผยแพร่โดย Fed San Francisco ปี 1993 ได้ระบุสาเหตุการเกิดภาวะถดถอยหลายอย่าง ซึ่งรวมไปถึงทัศนคติเชิงลบของผู้บริโภค ราคาน้ำมันพุ่งสูงจากเหตุการณ์อิรักบุกคูเวต และ Fedที่พยายามปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ตอนปลายปี 1980  

ฝ่าย Greenspan และพรรคพวกต่างหาวิธีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้ถึง 6.5% ใน พ.ค. ปี 2000 โดยอัตราดอกเบี้ยลดลงต่ำถึง 3% ใน ก.ย. ปี 1992 ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบสิบปี  

เมื่อ เม.ย. ปี 1994 ได้มีการประชุมเร่งด่วนว่าด้วยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งลดต้นทุนกู้ยืมเมื่อ ต.ค. ปี 1998

ที่สำคัญ FED ภายใต้การนำของ Greenspan ได้ปรับลดอัตราเบี้ยประกันเป็นครั้งแรก เหตุการณ์นี้ทำเพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจ ไม่ได้ต้านภาวะถดถอยแต่อย่างใด ซึ่งเห็นได้จากกรณีผิดนัดชำระหนี้รัสเซีย หรือกองทุนเฮดจ์รายใหญ่ล่มสลาย

2001 – 2010 ฟองสบู่ดอทคอม, 9/11, Great Recession

ถือเป็นยุคที่เกิดเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ ซึ่งพี่ทุยจะไล่ไทม์ไลน์ของแต่ละเหตุการณ์ออกมาพอให้เข้าใจภาพรวมกัน

ช่วงปี 1995-2000 เกิดเหตุการณ์ “ฟองสบู่ดอทคอม” มูลค่าหุ้นเทคในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากการลงทุนในบริษัทที่เน้นแกนหลักด้านอินเทอร์เน็ต ถือเป็นช่วงขาขึ้นหรือที่เรียกกันว่าตลาดกระทิง โดยดัชนี Nasdaq ที่ถือหุ้นเทคนั้นเพิ่มจากที่ต่ำกว่า 1,000 ขึ้นมาถึง 5,000 แต่หลังจากนั้นก็เกิดฟองสบู่แตกในปี 2001-2002 และเข้าสู่ช่วงขาลงหรือตลาดหมี

ต่อมา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ปี 2001 กองกำลังอิสลามขับเครื่องบินติดอาวุธพลีชีพจำนวน 4 ลำ พุ่งชนตึกเวิร์ลด์เทรด ณ กรุงนิวยอร์ก ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ เพราะส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ หลายด้าน หนึ่งในนั้นคือด้านเศรษฐกิจ  

สถาบันวอลสตรีทและกระดานเทรดหุ้นตกลงมา 7.1% ในวันเปิดเทรดวันแรกหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ตลาดแรงงานสูญเสียคนทำงานไปจำนวน 143,000 ตำแหน่งในเดือนเดียว และสูญรายได้ไป 2.8 พันล้านดอลลาร์ฯ ในสามเดือนแรก ธุรกิจการเงินและขนส่งทางอากาศได้รับความเสียหายมากที่สุด โดยสูญเสียแรงงานไป 60% รวม ๆ แล้วมูลค่าความเสียหายครั้งนี้อยู่ที่ 60 พันล้านดอลลาร์ฯ 

Fed เปิดทศวรรษด้วยการหั่นอัตราดอกเบี้ยลงมา 13 เท่า อยู่ที่ 1% หลังเกิดฟองสบู่ดอทคอมและเริ่มเกิดภาวะถดถอยจากเหตุการณ์ 9/11 โดยคงอัตราดอกเบี้ยตลอดช่วงกลางปี 2004 รวมทั้งออกนโยบายที่เอื้อให้เกิดการซื้อบ้าน ส่งผลให้ตลาดการเงินและอสังหาฯ เริ่มคึกคัก ปล่อยสินเชื่อกู้มหาศาล หนึ่งในนั้นคือซับไพรม์และสินเชื่อแบบดอกเบี้ยลอยตัว เอื้อให้ผู้กู้ไม่จำเป็นต้องยืนยันเครดิตตัวเอง โดยหวังว่าดอกเบี้ยจะอยู่ระดับนี้ ในขณะที่ราคาบ้านก็ขึ้นไปได้เรื่อย ๆ 

ทว่า Fed เพิ่มดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อช่วง 2004-2006 ซึ่งปรับขึ้นมา 17 เท่า อยู่ที่ 5.25% เพื่อต้านอัตราเงินเฟ้อไว้ ส่งผลให้เครดิตใหม่ไหลเวียนจากสถาบันการเงินไปตลาดอสังหาฯ น้อยลง ส่วนอัตราดอกเบี้ยลอยตัวและสินเชื่ออื่นกลับมาพุ่งสูงกว่าที่ผู้กู้คิดไว้ เกิดเป็นฟองสบู่แตกหรือ Housing Bubble

นอกจากนี้ พอตลาดอสังหาฯ ล่มสลาย พวกหลักทรัพย์ที่ค้ำด้วยสินเชื่ออสังหาฯ (MBS)  หรืออนุพันธ์อิงมูลค่าระดับต่ำนั้นก็มีมูลค่าลดลง ตลาดสินเชื่อดิ่งลงตามราคาบ้านอย่างรวดเร็วเมื่อปี 2007 ธนาคารและสถาบันการเงินล้มตามกันหลัง Bear Sterns ล่มสลายเมื่อ มี.ค. ปี 2008 จนมาถึงการล้มละลายของ Lehman Brothers ธนาคารใหญ่อันดับสี่ของสหรัฐฯ เมื่อ ก.ย. ปีเดียวกัน

วิกฤติการเงินครั้งนี้รู้จักกันในชื่อวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์หรือ Great Recession เรียกได้ว่าเป็นมหากาพย์ล่มสลายทางการเงินและเศรษฐกิจ เพราะก่อมูลค่าความเสียหายต่อหน้าที่การงาน เงินออม บ้าน หรือทั้งหมดที่กล่าวมาให้กับผู้คนจำนวนมาก

สหรัฐฯ เกิดการว่างงาน 8.7 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ชาวอเมริกันสูญเงินไป 19 ล้านล้านดอลลาร์ฯ หลังตลาดหุ้นดิ่ง ที่สำคัญ เศรษฐกิจโลกต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า

คราวนี้ Fed ตัดสินใจหั่นดอกเบี้ย 100 แต้ม จนแทบเหลือศูนย์ โดยต้องยกความดีความชอบให้กับ Ben Bernanke หัวเรือหลักของ Fed เพราะเขาคือหนึ่งในผู้กอบกู้เศรษฐกิจที่สำคัญในยุคนั้น

2011 – 2020 ฟื้นตัวจาก Great Recession สู่ยุคโควิดระบาด

ยุคฟื้นฟูเริ่มขึ้นเมื่อ ก.ค. ปี 2009 การกู้บ้านและรายได้ของแต่ละครอบครัวยังกลับมาได้ยากพอสมควร แถมแคมเปญของ Bernie Sanders และ Elixabeth Warren สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐฯ ในขณะนั้น ทำให้หลายคนกังวลว่าจะเกิดความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์เรียกยุคนี้ว่า Secular Stagnation หรือภาวะเศรษฐกิจเสื่อมถอยต่อเนื่อง 

สรุปโดยรวมคือ ชาวอเมริกันมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียง 11% นับตั้งแต่ 2009-2018 บางครัวเรือนมีรายได้เพิ่มไม่มากหรือต่ำกว่าที่เคยได้ตอนปี 2000 แม้อัตราว่างงานลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อปี 2010 มาถึงจุดต่ำสุดเมื่อปี 2019 แต่การฟื้นตัวด้านอื่นของตลาดแรงงานก็เห็นได้น้อยมาก 

อัตราดอกเบี้ย Fed ยังอยู่ระดับศูนย์ในปี 2010 จนเมื่อปี 2015 ปรับขึ้นมา ปีละ 0.25% จุด ปี 2017 ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 3 ครั้ง และปี 2018 ขึ้นอีก 4 ครั้ง อยู่จุดสูงสุดที่ 2.25-2.5%

จากนั้นได้หั่นดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง เมื่อปี 2019 เพื่อหนุนเศรษฐกิจให้ดีขึ้นหลังเกิดเงินเฟ้อไม่แน่นอนและมีอัตราเติบโตไม่มาก ทุกอย่างกำลังไปได้สวย จนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19  

นับตั้งแต่ปลายปี 2019 จนถึงปัจจุบัน ผู้คนทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดทุกทาง เมื่อว่ากันถึงด้านเศรษฐกิจแล้ว ก็ไล่ตั้งแต่ตลาดหุ้นร่วงระนาว ทั้ง FTSE, Dow Jones และ  Nikkei หลังผู้คนติดเชื้อเพิ่มขึ้นในเดือนแรก ซึ่งกระทบมูลค่าเบี้ยบำนาญและเงินฝาก บางคนถูกลดรายได้หรือตกงาน ทำให้อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นมหาศาล ทุกประเทศต่างตกอยู่ในภาวะถดถอย 

Fed กลับมาหั่นดอกเบี้ยเหลือศูนย์เมื่อเศรษฐกิจหยุดชะงัก โดย IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกลดลง 4.4% เมื่อปี 2020 ซึ่งถือว่าเป็นภาวะถดถอยที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression เมื่อปี 1930  

2021 – ปัจจุบัน การกลับมาของเงินเฟ้อและเหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตา

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ปี 2022 Fed ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% เพื่อต้านเงินเฟ้อที่กลับมา ย้อนไปตอนที่หลายประเทศเริ่มคลายล็อก รวมทั้งมีแผนกลับมาเปิดประเทศและดำเนินกิจการต่าง ๆ ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยและจองเที่ยวบินและที่พัก เพื่อเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น 

เมื่อความต้องการซื้อของผู้บริโภคเริ่มแข็งแกร่ง สวนทางกับกำลังการผลิตที่ผลิตไม่ทัน นายจ้างหาแรงงานมาเติมไม่พอ ซัพพลายเชนก็เปราะบาง ส่งผลให้ราคาข้าวของพุ่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งสูงถึง 6.6% เมื่อจบเดือน มี.ค. มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ Fed ตั้งเป้าไว้ถึงสามเท่า และพุ่งเร็วที่สุดนับตั้งแต่เกิด Great Inflation 

แถมยังมีปัจจัยภายนอกที่เร่งให้เกิดอัตราเงินเฟ้อหลายอย่าง ทั้งกรณีรัสเซีย-ยูเครนที่นำมาสู่ภาวะขาดแคลนอาหารและพลังงาน จีนล็อกดาวน์จนกระทบโรงงานการผลิตและส่งออก รวมไปถึงความวิตกกังวลภาวะถดถอยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด 

Fed จึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อชะลอกำลังซื้อและต้านเงินเฟ้อไว้ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่มีนาคมที่ปรับขึ้น 0.25% เป็นครั้งแรกหลังปล่อยให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ศูนย์มาสองปีตั้งแต่ 2018 ก่อนปรับเพิ่มมาที่ 0.5% ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2000

อ่านเพิ่ม

FED “ปรับดอกเบี้ย” ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างไร

ทำไมการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ถึงสำคัญ ก็เพราะมันส่งผลกระทบเป็นทอด ๆ มาถึงพวกเราแทบทุกด้าน ดังนี้

ภาวะเงินเฟ้อและการจ้างงาน 

อย่างแรก คือ กระทบต่อภาวะเงินเฟ้อและการจ้างงาน เมื่ออัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง ย่อมส่งผลต่อมูลค่าเงินในการใช้จ่ายครัวเรือนและทำธุรกิจ หากดอกเบี้ยต่ำ เราก็กู้ได้ถูก มีเงินไปจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น คนทำธุรกิจก็ขยับขยายกิจการได้ง่ายขึ้น จ้างคนได้มากขึ้น คราวนี้ยิ่งกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมากเเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ยิ่งสูงตามไปด้วย จนนำไปสู่การเกิดเงินเฟ้อ ถึงอย่างนั้น ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อสองสิ่งนี้เช่นกัน 

ตลาดลงทุน

อีกหนึ่งแวดวงที่ได้รับผลกระทบช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นนักลงทุนที่เผชิญกับมูลค่าสินทรัพย์ดิ่งร่วงไปตาม ๆ กัน ทั้งตลาดหุ้น พันธบัตร หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับความนิยมในปีที่แล้วอย่าง Cryptocurrency โดยบิตคอยน์ร่วงทะลุ 30,000 ดอลลาร์ฯ ซึ่งลดลงครึ่งหนึ่งจากที่เคยทำจุคพีคไว้ถึง 69,000 ดอลลาร์ฯ นั่นก็เพราะ เมื่อ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจในสินทรัพย์ที่ถือไว้ จึงต้องการย้ายเงินไปลงในที่ที่ปลอดภัยกว่า ยิ่งคริปโตได้ชื่อว่าเป็นสินทรัพย์เสี่ยงด้วยแล้ว ประกอบกับฝั่งตลาดหุ้นก็ร่วงลงอย่างหนัก จึงเกิดการเทขายเหรียญตามกันมหาศาล ส่งผลให้เหรียญคริปโตอื่นร่วงตามไปด้วย ทั้ง ETH, AVAX และอีกมากมาย

การกู้ยืม 

โดยทั่วไปแล้ว อัตราสินเชื่อแปรผันตามอัตราดอกเบี้ย Fed เพราะผู้กู้จะถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยอิงตามอัตราดังกล่าว หาก Fed ปรับดอกเบี้ยขึ้นสูง ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงตามไปด้วย 

อ้างอิง

https://www.federalreservehistory.org
https://www.botlc.or.th
https://bancroft.berkeley.edu
https://www.businessinsider.com
https://www.investopedia.com
https://www.investopedia.com
https://www.history.com
https://www.bbc.com
https://www.pewresearch.org
https://www.federalreserve.gov
https://www.forbes.com

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile