กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ลาออก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จัดการยังไง เมื่อวันนึงเราลาออกจากงาน ?

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นเครื่องมือออมเงิน และวางแผนเกษียณ ที่ได้เงินสมทบจากนายจ้าง
  • เมื่อลาออกจากงาน เราจะมี 4 ทางเลือกในการจัดการกองทุน ได้แก่ เก็บไว้ที่เดิมย้ายไปที่ทำงานใหม่ย้ายไป RMF for PVD, หรือถอนเงินทั้งหมด
  • แต่ละทางเลือกมีข้อดีข้อเสียต่างกัน และควรพิจารณาสถานการณ์ส่วนตัวก่อนตัดสินใจ

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อีกหนึ่งตัวช่วยดี ๆ ของพนักงานออฟฟิศ ที่ไม่ใช่ทุกออฟฟิศจะมีได้ เพราะระยะเวลากว่าจะจัดตั้ง การเตรียมการ การให้ความรู้พนักงานมันกินเวลาเยอะมาก ๆ จนส่วนใหญ่มีแต่บริษัทระดับมหาชนที่มักทำกัน แต่กองทุนนี้ก็ยังมีข้อดีตรงที่ได้ “เงินฟรี” ที่มาจากการสมทบของนายจ้างสูงสุด 15% และยังเป็นเครื่องมือช่วยเราออมเงินเพื่อ “วางแผนเกษียณ” จริง ๆ แถมยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงด้วยอีก เรียกว่าคุ้มในคุ้ม

แล้วถ้าวันนึงเราตัดสินใจลาออกจากงาน ลาออก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เราจะจัดการกับเงินก้อนนี้อย่างไรดี ? เพราะเงื่อนไขของคนที่ถือกองทุนนี้คือต้องถือจนครบอายุ 55 ปี หรือเป็นสมาชิกกองทุนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี หากไม่ทำตามกฎเหล่านี้ ขายคืนก่อนครบกำหนด ก็อาจโดนเรียกภาษีย้อนหลังได้ งั้นวันนี้เรามาดู 4 ทางเลือกที่จะจัดการกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในวันที่เราลาออกจากงานแล้วกัน

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

 

ทางเลือกที่ 1: เก็บกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไว้ที่เดิม

ทางเลือกแรกที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง คือการปล่อยให้เงินอยู่ในกองทุนเดิมต่อไป การเอาเงินคงไว้ที่เดิมก็เป็นเรื่องที่ไม่แย่อะไร โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการเวลาในการตัดสินใจมากกว่านี้

เหมาะสำหรับ: คนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาเงินในกองทุนไว้ไหน หรือจะทำยังไงกับมันดี หรือมองว่าผลตอบแทนจากกองทุนของบริษัทเก่ายังดีอยู่

ข้อดี:

  • ไม่ต้องเสียเวลาย้ายเงินไปมา ถ้ากองทุนเดิมยังให้ผลตอบแทนดีอยู่
  • ยังคงได้ผลตอบแทนจากการลงทุนต่อ แม้จะไม่ได้ส่งเงินสมทบแล้วก็ตาม
  • ไม่เสียค่าธรรมเนียมการโอนย้าย

ข้อเสีย:

  • ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับการคงเงินไว้ที่เดิม
  • บางกองทุนมีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลา ต้องตรวจสอบให้ดี
  • ไม่ได้รับเงินสมทบจากนายจ้างเพิ่มเติม

 

ทางเลือกที่ 2: ลาออก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ย้ายไปอยู่กับที่ทำงานใหม่ (ถ้าที่ทำงานใหม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนกัน)

ทางเลือกนี้เป็นวิธีที่นิยมที่สุด หากเรามีงานใหม่รออยู่แล้ว และบริษัทใหม่ก็มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเช่นกัน การย้ายเงินไปที่ทำงานใหม่ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก

เหมาะสำหรับ: คนที่มีงานใหม่รออยู่แล้ว และบริษัทใหม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้

ข้อดี:

  • ได้รับเงินสมทบจากนายจ้างรายใหม่
  • สามารถลงทุนแบบต่อเนื่องได้เลย
  • ประโยชน์ทางภาษียังคงอยู่
  • จัดการง่าย มีกองทุนเดียว

ข้อเสีย:

  • ถ้าบริษัทใหม่ไม่มีสวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็ไม่สามารถทำได้
  • อาจต้องรอให้ผ่านช่วงทดลองงานก่อน จะได้แน่ใจว่าเราอยู่กับบริษัทนี้จริงๆ
  • อาจต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนตามนโยบายของกองทุนใหม่

เคล็ดลับ:

  • ศึกษาข้อมูลกองทุนของบริษัทใหม่ให้ดีก่อน เปรียบเทียบค่าธรรมเนียม ผลตอบแทน และตัวเลือกการลงทุน
  • อย่ารีบย้ายในช่วงทดลองงาน รอให้ผ่านช่วงนี้ก่อน

 

ทางเลือกที่ 3: ย้ายไปลงทุนต่อใน RMF for PVD

ถ้าเรากำลังเปลี่ยนสายงาน หรือบริษัทใหม่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ แต่เรายังอยากเก็บเงินไว้เพื่อเกษียณ บริหารเงินเอง ไม่อยากย้ายเงินไปที่นู่นที่นี่ ก็ย้ายไปลงทุนต่อในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF for PVD ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีเช่นกัน

เหมาะสำหรับ: คนที่ทำงานใหม่ยังไม่มีกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ชอบเปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ ขี้เกียจย้ายกองไปมาเมื่อเปลี่ยนที่ทำงาน และยังต้องการวางแผนลงทุนระยะยาวเพื่อเกษียณ

ข้อดี:

  • หลีกเลี่ยงการเรียกภาษีย้อนหลังได้จากการถอนเงินกองทุน
  • ยังคงวัตถุประสงค์เพื่อการเกษียณ
  • มีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลายกว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • สามารถเลือกกองทุนที่เหมาะกับตัวเองได้ตามสไตล์

ข้อเสีย:

  • เงินใน RMF จะถอนออกไม่ได้เลยจนกว่าจะอายุ 55 ปี และถือกองทุนอย่างน้อย 5 ปี
  • ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง (ต้องซื้อทุกปี หรือปีเว้นปีได้ แต่จะไม่ซื้อหลาย ๆ ปีไม่ได้ อันนี้ผิดเงื่อนไข)
  • ไม่ได้รับเงินสมทบจากนายจ้าง อดได้เงินฟรี
  • มีเงื่อนไขการถือครองและการถอนที่ซับซ้อน

สิ่งที่ต้องพิจารณา:

  • วางแผนกระแสเงินสดให้ดี เพราะต้องลงทุนต่อเนื่อง
  • ศึกษาเงื่อนไขการถือครองและการถอนให้ละเอียด
  • เลือกกองทุนที่เหมาะกับอายุและความเสี่ยงที่รับได้

 

ทางเลือกที่ 4: ถอนเงินทั้งหมด

ทางเลือกสุดท้ายที่พี่ทุยขอให้คิดเป็นทางเลือกสุดท้ายจริง ๆ เพราะข้อเสียมีเยอะกว่าข้อดี คือการถอนเงินทั้งหมดออกมา ซึ่งไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ เพราะจุดประสงค์ของกองทุนนี้คืออยากให้ทุกคนเก็บเงินก้อนนี้ไว้เพื่อเกษียณ

เหมาะสำหรับ: คนที่กำลังต้องการใช้เงินด่วน หรือไม่มีแผนทำงานประจำต่อ หรือเปลี่ยนไปสายงานที่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเพิ่งเริ่มทำงานไม่นาน เสียภาษียังไม่เยอะ คิดว่าถ้าโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังสามารถจ่ายไหว

เหมาะกับกรณีไหน:

  • ต้องจ่ายหนี้ด่วน
  • มีค่าใช้จ่ายจำเป็นที่รอไม่ได้
  • เปลี่ยนไปทำธุรกิจส่วนตัว
  • ไม่มีแผนทำงานประจำต่อ

ข้อเสียที่ต้องรู้:

  • ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาย้อนหลัง ซึ่งถ้าเงินรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษียิ่งเยอะ ภาษีก็จะยิ่งแพง บางคนถูกเรียกย้อนหลังเป็นแสนก็มี ข้อนี้ต้องคิดดูดี ๆ
  • สูญเสียโอกาสในการให้เงินก้อนนี้เติบโตในระยะยาว
  • สูญเสียเงินสมทบจากนายจ้างที่สะสมมา
  • ไม่มีเงินออมเพื่อเกษียณ ต้องเริ่มวางแผนใหม่ทั้งหมด

 

สรุป: เลือกให้เหมาะกับสถานการณ์ของตัวเอง

การตัดสินใจเรื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อลาออกจากงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละทางเลือกมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาให้รอบคอบตามสถานการณ์ของตัวเอง

 

คำแนะนำสุดท้าย:

  • หากมีงานใหม่และบริษัทมี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ → เลือกทางเลือกที่ 2
  • หากไม่มี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่งานใหม่แต่ยังอยากออม → เลือกทางเลือกที่ 3 (RMF)
  • หากยังไม่แน่ใจ → เลือกทางเลือกที่ 1 (เก็บไว้ที่เดิมก่อน)
  • หากจำเป็นต้องใช้เงินด่วน → เลือกทางเลือกที่ 4 (แต่คิดให้ดีก่อน)

อย่าลืมว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินออมเพื่ออนาคตของเราเอง การตัดสินใจวันนี้จะส่งผลต่อความมั่งคั่งในวันข้างหน้าของเราทุกคนแน่นอน แต่ถ้าใครยังไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พี่ทุยมีข่าวมาอัปเดต เพราะหลังวันที่ 1 ต.ค. 68 เป็นต้นไป บริษัทไหนที่มีลูกจ้างมากกว่า 10 คนจะถูกบังคับให้ลูกจ้างทุกคนเข้าร่วม กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างแล้วนะ

 

รู้จักกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง: ทางเลือกใหม่เงินออมเพื่อลูกจ้าง แฝดคนละฝาของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจเรื่องการจัดการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็ควรรู้จักกับ “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” ที่จะเริ่มบังคับใช้ 1 ตุลาคม 2568 เพราะมันอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการออมด้วย

 

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร?

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นหลักประกันใหม่สำหรับแรงงานไทยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานและกำลังหางานใหม่ หรือตาย

 

เกี่ยวยังไงกับ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ:

  • กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ยกเว้นบริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว แต่ถ้าลูกจ้างคนไหนไม่ได้ทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 68 เป็นต้นไป ก็จำบังคับให้ลูกจ้างเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างแทน
  • วัตถุประสงค์ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นเงินออมเมื่อลูกจ้างออกจากงานหรือตายเช่นเดียวกัน เพียงแต่กองทุสงเคราะห์ลูกจ้างไม่ได้เน้นเก็บเพื่อการเกษียณ แต่เน้นเก็บเพื่อให้มีเงินในช่วงว่างเงินเฉย ๆ

 

สิ่งที่ควรรู้:

  • อัตราการจ่าย: ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 ถึง 30 กันยายน 2573 ทั้งลูกจ้างและนายจ้างต้องหักเงินเข้ากองทุน 0.25% จากเงินเดือนทุกเดือน แต่ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป จะปรับเพิ่มให้แต่ละฝ่ายต้องหักเข้ากองทุนฝ่ายละ 0.5% ของเงินเดือน และถ้านายจ้างรับรู้ แต่ไม่เอาเงินนำส่ง จะโดนปรับเงิน 5% ต่อเดือน ของเงินที่ยังไม่นำส่ง สมมติหักเงินเดือนละ 100 บาท ไม่ได้นำส่ง 10 เดือน เท่ากับ 1,000 บาทก็จะโดนปรับ 50 บาท อะไรงี้ และหากยังไม่ดำเนินการส่งเงินอีกก็อาจถูกลงโทษทางแพ่งและอาญาเพิ่ม
  • การรับเงิน: เมื่อลูกจ้างออกจากงาน และว่างงาน จะได้รับเงินสะสม เงินสมทบ และดอกผลจากเงินดังกล่าว

 

ติดตามข่าวสารพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook

อ่านบทความอื่น ๆ ของพี่ทุย

บัตรคนจน เงินเข้าวันไหน

เล่นหุ้นขาดทุน ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเป็นแบบนั้น ?

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile