กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อีกหนึ่งตัวช่วยดี ๆ ของพนักงานออฟฟิศ ที่ไม่ใช่ทุกออฟฟิศจะมีได้ เพราะระยะเวลากว่าจะจัดตั้ง การเตรียมการ การให้ความรู้พนักงานมันกินเวลาเยอะมาก ๆ จนส่วนใหญ่มีแต่บริษัทระดับมหาชนที่มักทำกัน แต่กองทุนนี้ก็ยังมีข้อดีตรงที่ได้ “เงินฟรี” ที่มาจากการสมทบของนายจ้างสูงสุด 15% และยังเป็นเครื่องมือช่วยเราออมเงินเพื่อ “วางแผนเกษียณ” จริง ๆ แถมยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงด้วยอีก เรียกว่าคุ้มในคุ้ม
แล้วถ้าวันนึงเราตัดสินใจลาออกจากงาน ลาออก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เราจะจัดการกับเงินก้อนนี้อย่างไรดี ? เพราะเงื่อนไขของคนที่ถือกองทุนนี้คือต้องถือจนครบอายุ 55 ปี หรือเป็นสมาชิกกองทุนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี หากไม่ทำตามกฎเหล่านี้ ขายคืนก่อนครบกำหนด ก็อาจโดนเรียกภาษีย้อนหลังได้ งั้นวันนี้เรามาดู 4 ทางเลือกที่จะจัดการกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในวันที่เราลาออกจากงานแล้วกัน
ทางเลือกที่ 1: เก็บกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไว้ที่เดิม
ทางเลือกแรกที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง คือการปล่อยให้เงินอยู่ในกองทุนเดิมต่อไป การเอาเงินคงไว้ที่เดิมก็เป็นเรื่องที่ไม่แย่อะไร โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการเวลาในการตัดสินใจมากกว่านี้
เหมาะสำหรับ: คนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาเงินในกองทุนไว้ไหน หรือจะทำยังไงกับมันดี หรือมองว่าผลตอบแทนจากกองทุนของบริษัทเก่ายังดีอยู่
ข้อดี:
- ไม่ต้องเสียเวลาย้ายเงินไปมา ถ้ากองทุนเดิมยังให้ผลตอบแทนดีอยู่
- ยังคงได้ผลตอบแทนจากการลงทุนต่อ แม้จะไม่ได้ส่งเงินสมทบแล้วก็ตาม
- ไม่เสียค่าธรรมเนียมการโอนย้าย
ข้อเสีย:
- ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับการคงเงินไว้ที่เดิม
- บางกองทุนมีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลา ต้องตรวจสอบให้ดี
- ไม่ได้รับเงินสมทบจากนายจ้างเพิ่มเติม
ทางเลือกที่ 2: ลาออก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ย้ายไปอยู่กับที่ทำงานใหม่ (ถ้าที่ทำงานใหม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนกัน)
ทางเลือกนี้เป็นวิธีที่นิยมที่สุด หากเรามีงานใหม่รออยู่แล้ว และบริษัทใหม่ก็มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเช่นกัน การย้ายเงินไปที่ทำงานใหม่ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก
เหมาะสำหรับ: คนที่มีงานใหม่รออยู่แล้ว และบริษัทใหม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้
ข้อดี:
- ได้รับเงินสมทบจากนายจ้างรายใหม่
- สามารถลงทุนแบบต่อเนื่องได้เลย
- ประโยชน์ทางภาษียังคงอยู่
- จัดการง่าย มีกองทุนเดียว
ข้อเสีย:
- ถ้าบริษัทใหม่ไม่มีสวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็ไม่สามารถทำได้
- อาจต้องรอให้ผ่านช่วงทดลองงานก่อน จะได้แน่ใจว่าเราอยู่กับบริษัทนี้จริงๆ
- อาจต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนตามนโยบายของกองทุนใหม่
เคล็ดลับ:
- ศึกษาข้อมูลกองทุนของบริษัทใหม่ให้ดีก่อน เปรียบเทียบค่าธรรมเนียม ผลตอบแทน และตัวเลือกการลงทุน
- อย่ารีบย้ายในช่วงทดลองงาน รอให้ผ่านช่วงนี้ก่อน
ทางเลือกที่ 3: ย้ายไปลงทุนต่อใน RMF for PVD
ถ้าเรากำลังเปลี่ยนสายงาน หรือบริษัทใหม่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ แต่เรายังอยากเก็บเงินไว้เพื่อเกษียณ บริหารเงินเอง ไม่อยากย้ายเงินไปที่นู่นที่นี่ ก็ย้ายไปลงทุนต่อในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF for PVD ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีเช่นกัน
เหมาะสำหรับ: คนที่ทำงานใหม่ยังไม่มีกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ชอบเปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ ขี้เกียจย้ายกองไปมาเมื่อเปลี่ยนที่ทำงาน และยังต้องการวางแผนลงทุนระยะยาวเพื่อเกษียณ
ข้อดี:
- หลีกเลี่ยงการเรียกภาษีย้อนหลังได้จากการถอนเงินกองทุน
- ยังคงวัตถุประสงค์เพื่อการเกษียณ
- มีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลายกว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- สามารถเลือกกองทุนที่เหมาะกับตัวเองได้ตามสไตล์
ข้อเสีย:
- เงินใน RMF จะถอนออกไม่ได้เลยจนกว่าจะอายุ 55 ปี และถือกองทุนอย่างน้อย 5 ปี
- ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง (ต้องซื้อทุกปี หรือปีเว้นปีได้ แต่จะไม่ซื้อหลาย ๆ ปีไม่ได้ อันนี้ผิดเงื่อนไข)
- ไม่ได้รับเงินสมทบจากนายจ้าง อดได้เงินฟรี
- มีเงื่อนไขการถือครองและการถอนที่ซับซ้อน
สิ่งที่ต้องพิจารณา:
- วางแผนกระแสเงินสดให้ดี เพราะต้องลงทุนต่อเนื่อง
- ศึกษาเงื่อนไขการถือครองและการถอนให้ละเอียด
- เลือกกองทุนที่เหมาะกับอายุและความเสี่ยงที่รับได้
ทางเลือกที่ 4: ถอนเงินทั้งหมด
ทางเลือกสุดท้ายที่พี่ทุยขอให้คิดเป็นทางเลือกสุดท้ายจริง ๆ เพราะข้อเสียมีเยอะกว่าข้อดี คือการถอนเงินทั้งหมดออกมา ซึ่งไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ เพราะจุดประสงค์ของกองทุนนี้คืออยากให้ทุกคนเก็บเงินก้อนนี้ไว้เพื่อเกษียณ
เหมาะสำหรับ: คนที่กำลังต้องการใช้เงินด่วน หรือไม่มีแผนทำงานประจำต่อ หรือเปลี่ยนไปสายงานที่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเพิ่งเริ่มทำงานไม่นาน เสียภาษียังไม่เยอะ คิดว่าถ้าโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังสามารถจ่ายไหว
เหมาะกับกรณีไหน:
- ต้องจ่ายหนี้ด่วน
- มีค่าใช้จ่ายจำเป็นที่รอไม่ได้
- เปลี่ยนไปทำธุรกิจส่วนตัว
- ไม่มีแผนทำงานประจำต่อ
ข้อเสียที่ต้องรู้:
- ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาย้อนหลัง ซึ่งถ้าเงินรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษียิ่งเยอะ ภาษีก็จะยิ่งแพง บางคนถูกเรียกย้อนหลังเป็นแสนก็มี ข้อนี้ต้องคิดดูดี ๆ
- สูญเสียโอกาสในการให้เงินก้อนนี้เติบโตในระยะยาว
- สูญเสียเงินสมทบจากนายจ้างที่สะสมมา
- ไม่มีเงินออมเพื่อเกษียณ ต้องเริ่มวางแผนใหม่ทั้งหมด
สรุป: เลือกให้เหมาะกับสถานการณ์ของตัวเอง
การตัดสินใจเรื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อลาออกจากงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละทางเลือกมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาให้รอบคอบตามสถานการณ์ของตัวเอง
คำแนะนำสุดท้าย:
- หากมีงานใหม่และบริษัทมี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ → เลือกทางเลือกที่ 2
- หากไม่มี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่งานใหม่แต่ยังอยากออม → เลือกทางเลือกที่ 3 (RMF)
- หากยังไม่แน่ใจ → เลือกทางเลือกที่ 1 (เก็บไว้ที่เดิมก่อน)
- หากจำเป็นต้องใช้เงินด่วน → เลือกทางเลือกที่ 4 (แต่คิดให้ดีก่อน)
อย่าลืมว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินออมเพื่ออนาคตของเราเอง การตัดสินใจวันนี้จะส่งผลต่อความมั่งคั่งในวันข้างหน้าของเราทุกคนแน่นอน แต่ถ้าใครยังไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พี่ทุยมีข่าวมาอัปเดต เพราะหลังวันที่ 1 ต.ค. 68 เป็นต้นไป บริษัทไหนที่มีลูกจ้างมากกว่า 10 คนจะถูกบังคับให้ลูกจ้างทุกคนเข้าร่วม กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างแล้วนะ
รู้จักกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง: ทางเลือกใหม่เงินออมเพื่อลูกจ้าง แฝดคนละฝาของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจเรื่องการจัดการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็ควรรู้จักกับ “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” ที่จะเริ่มบังคับใช้ 1 ตุลาคม 2568 เพราะมันอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการออมด้วย
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร?
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นหลักประกันใหม่สำหรับแรงงานไทยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานและกำลังหางานใหม่ หรือตาย
เกี่ยวยังไงกับ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ:
- กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ยกเว้นบริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว แต่ถ้าลูกจ้างคนไหนไม่ได้ทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 68 เป็นต้นไป ก็จำบังคับให้ลูกจ้างเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างแทน
- วัตถุประสงค์ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นเงินออมเมื่อลูกจ้างออกจากงานหรือตายเช่นเดียวกัน เพียงแต่กองทุสงเคราะห์ลูกจ้างไม่ได้เน้นเก็บเพื่อการเกษียณ แต่เน้นเก็บเพื่อให้มีเงินในช่วงว่างเงินเฉย ๆ
สิ่งที่ควรรู้:
- อัตราการจ่าย: ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 ถึง 30 กันยายน 2573 ทั้งลูกจ้างและนายจ้างต้องหักเงินเข้ากองทุน 0.25% จากเงินเดือนทุกเดือน แต่ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป จะปรับเพิ่มให้แต่ละฝ่ายต้องหักเข้ากองทุนฝ่ายละ 0.5% ของเงินเดือน และถ้านายจ้างรับรู้ แต่ไม่เอาเงินนำส่ง จะโดนปรับเงิน 5% ต่อเดือน ของเงินที่ยังไม่นำส่ง สมมติหักเงินเดือนละ 100 บาท ไม่ได้นำส่ง 10 เดือน เท่ากับ 1,000 บาทก็จะโดนปรับ 50 บาท อะไรงี้ และหากยังไม่ดำเนินการส่งเงินอีกก็อาจถูกลงโทษทางแพ่งและอาญาเพิ่ม
- การรับเงิน: เมื่อลูกจ้างออกจากงาน และว่างงาน จะได้รับเงินสะสม เงินสมทบ และดอกผลจากเงินดังกล่าว
ติดตามข่าวสารพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook
อ่านบทความอื่น ๆ ของพี่ทุย