ทุกคนเคยคิดมั้ยว่าตัวเองจะเกษียณตอนอายุเท่าไหร่ และหลังเลิกทำงานแล้ว เรามี สวัสดิการหลังเกษียณ ที่เพียงพอจะมีกินมีใช้แล้วหรือยัง ? หลายคนอาจจะยังไม่ได้คิด กว่าจะรู้ตัวว่า อุ๊ย! ต้องเตรียมตัวเกษียณ ก็ตอนอายุขึ้นหลักสี่ ไม่ก็ปาไป 50 กว่า หายใจเข้าไม่กี่รอบก็เกษียณแล้ว
พี่ทุยอยากตะโกนดัง ๆ ว่า รู้ตัวได้แล้ว! เพราะถ้ารู้ตัวไวว่าต้องเตรียมตัวเกษียณน่ะดีมาก ๆ โดยเฉพาะถ้าอยู่ในไทยแลนด์ ประเทศที่หวังฝากผีฝากไข้กับสวัสดิการสำหรับคนวัยเกษียณได้ยาก จนอยากจะมอบประโยคในเพลงนี้ให้ “อย่าฝากความหวัง ที่ฉันจนเกินไป”
แล้วทำไมฝากความหวังไม่ได้ล่ะ วันนี้ พี่ทุยจะชวนมาเช็คสวัสดิการวัยเกษียณของคนไทยกันหน่อย
สรุป สวัสดิการหลังเกษียณ ของมนุษย์เงินเดือน มีอะไรใช้บ้าง ?
พี่ทุยพาไปดูว่าสวัสดิการหลังเกษียณที่คนไทยสามารถมีได้ มีอะไรบ้าง
1. บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน)
เงื่อนไขรายได้
- ผู้มีสิทธิลงทะเบียนสมัครต้องมีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป
- ว่างงานหรือมีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาท/ปี
- รายได้เฉลี่ยของครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี
- มีทรัพย์สินการเงินไม่เกิน 100,000 บาท/คน
- ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์
- ไม่มีบัตรเครดิต
- ต้องไม่มีวงเงินกู้ หรือมีแต่ไม่เกินหลักเกณฑ์คือ วงเงินกู้บ้าน ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท วงเงินกู้รถ ไม่เกิน 1 ล้านบาท
สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับปี 2565 - ค่าซื้อสินค้า 200 – 300 บาท
- ค่าเดินทางรถโดยสารสาธารณะ 500 บาท
- ส่วนลดแก๊สหุงต้ม 45 บาท (ต่อรอบ 3 เดือน) กรณีกลุ่มเปราะบางจะได้ส่วนลด 100 บาท (ต่อรอบ 3 เดือน)
- เงินช่วยค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครอบครัว (ตามที่จ่ายจริง)
- เงินช่วยค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาทต่อครอบครัว (ตามที่จ่ายจริง)
- เงินพิเศษผู้พิการ 200 บาท
- ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เป็นพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอย ร้านค้าขนาดเล็กจะได้ส่วนลดก๊าซหุงต้มพีที (ปตท.) 100 บาท ที่ร้านจำหน่ายที่ร่วมรายการ
- เงินพิเศษผู้สูงอายุ 50 ถึง 100 บาทขึ้นอยู่กับเกณฑ์รายได้
2. เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
สัญชาติไทย อายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (เกิดก่อน 2 ก.ย. พ.ศ.2505) ที่ไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นจากหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เงื่อนไขรายได้
- อายุ 60-69 ปี 600 บาท/เดือน
- อายุ 70-79 ปี 700 บาท/เดือน
- ช่วงอายุ 80-89 ปี 800 บาท/เดือน
- อายุ 90 ปีขึ้นไป 1,000 บาท/เดือน
3. กองทุนประกันสังคม
เป็นผู้ประกันตน จ่าย 2 แบบ คือ
- บำนาญชราภาพ (สำหรับคนที่สมทบไม่น้อยกว่า 180 เดือน)
- บำเหน็จชราภาพ (สำหรับคนที่สมทบไม่ถึง 180 เดือน)
บำนาญชราภาพ
กรณีที่ 1 จ่ายเงินสมทบ 180 เดือน (ระยะเวลาติดต่อกันหรือไม่ติดต่อกันก็ได้)
รับรายเดือน 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง (สมมติใช้ฐานสูงสุด 15,000 บาท จะได้ 3,000 บาท)
กรณีที่ 2 จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน
รับรายเดือนเพิ่มอีก 1.5% ต่อเวลาที่เกินขึ้นไปทุก 12 เดือน (+225 บาททุกปีที่เกินมา) สมมติจ่ายเกินไปอีก 60 เดือน ก็จะได้ +1,125 บาท เป็น 4,125 บาท
*เงื่อนไขการจ่าย – อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
บำเหน็จชราภาพ
กรณีที่ 1 จ่ายสมทบต่ำกว่า 12 เดือน
ได้เงินเท่ากับจำนวนเงินที่ตัวเองสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ (สมมติสมทบเดือนละ 450 บาท (อัตราปกติ กรณีหักเงินประกันสังคมเดือนละ 750 บาท) ทุกเดือน รวม 10 เดือน ก็จะได้ 4,500 บาท
กรณีที่ 2 จ่ายสมทบ 12 เดือนขึ้นไป
ได้ทั้งเงินที่ตัวเองสมทบและนายจ้างจ่ายสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน ตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด
*เงื่อนไขการจ่าย – ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย
4. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
เป็นข้าราชการ ที่อายุราชการ 1 ปีขึ้นไป (ไม่ถึง 1 ปี ไม่ได้บำเหน็จบำนาญ)
เงื่อนไขสำหรับผู้เกษียณอายุ
กรณี อายุราชการ 1 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี – ได้บำเหน็จ เป็นเงินสะสม+สมทบ+ผลประโยชน์จาก กบข. และบำเหน็จจากกระทรวงการคลัง
กรณี อายุราชการ 10 ปีขึ้นไป
เลือกรับบำนาญ – ได้เงินประเดิม(ถ้ามี)+ชดเชย+สะสม+สมทบ+ผลประโยชน์จาก กบข. และบำนาญสูตรสมาชิกจากกระทรวงการคลัง
เลือกรับบำเหน็จ – ได้เงินสะสม+สมทบ+ผลประโยชน์จาก กบข. และบำเหน็จจากกระทรวงการคลัง
5. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน
สำหรับผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชนในระบบ
ครู – ต้องส่งเงินสะสมเข้ากองทุนไม่เกิน 3% ของเงินเดือนรายเดือน และไม่เกินวงเงินที่กฎกระทรวงกำหนด
โรงเรียนหรือผู้รับใบอนุญาต – ส่งสมทบจำนวนเท่ากับเงินสะสมเป็นรายคน
เงื่อนไข :
สำหรับผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชนในระบบ
ครู – ต้องส่งเงินสะสมเข้ากองทุนไม่เกิน 3% ของเงินเดือนรายเดือน และไม่เกินวงเงินที่กฎกระทรวงกำหนด
โรงเรียนหรือผู้รับใบอนุญาต – ส่งสมทบจำนวนเท่ากับเงินสะสมเป็นรายคน
6. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กรณีบริษัทที่ทำงานมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและลูกจ้างสมัครใจสะสมเงินด้วย
ส่วนประกอบของเงิน
- เงินสะสม (ลูกจ้างใส่เงินเข้าไป)
- ผลประโยชน์เงินสะสม
- เงินสมทบ (นายจ้างใส่เงินเข้าไป)
- ผลประโยชน์เงินสมทบ
เงื่อนไข
กรณีลาออกจากกองทุน เมื่ออายุครบ 55 ปี และเป็นสมาชิก PVD ปีขึ้นไป หรือเสียชีวิต – ได้เงินทั้งหมด และได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
กรณีลาออกจากกองทุน ไม่ลาออกจากงาน – เงินสะสมไม่ต้องเสียภาษี แต่เงินส่วนอื่นทั้งหมดเสียภาษี
กรณี ลาออกจากงาน
อายุงานน้อยกว่า 5 ปี – เงินสะสมไม่เสียภาษี แต่ให้นำผลประโยชน์เงินสะสม เงินสมทบ ผลประโยชน์เงินสมทบ ไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
อายุงาน 5 ปีขึ้นไป – เงินสะสมไม่เสียภาษี นอกนั้นเสียภาษี แต่เลือกได้ 2 วิธีคือ
1) รวมคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
2) แยกคำนวณ โดยมีสิทธิหักค่าใช้จ่าย 7,000 x จำนวนปีที่ทำงาน หักแล้วเหลือเท่าไหร่ หักอีกครึ่งหนึ่ง แล้วนำไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษีทั่วไป
7. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
เงินออมภาคสมัครใจสำหรับเตรียมไว้ใช้เมื่อเกษียณ นำมาลดหย่อนภาษีได้
เงื่อนไข – ถือจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ เงินทั้งหมดไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
กรณีขายคืนผิดเงื่อนไข
ถ้าลงทุนไม่ถึง 5 ปี กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน ต้องไปคำนวณภาษีและต้องคืนภาษีที่ได้รับการลดหย่อนย้อนหลังทุกปี
ถ้าลงทุนครบ 5 ปี แต่ขายก่อนอายุ 55 ปี ต้องคืนภาษีที่ได้รับการลดหย่อน 5 ปีหลัง แต่ไม่ต้องนำกำไรจากการขายคืนไปรวมคำนวณภาษี
อ่านเพิ่ม
8. ประกันบำนาญ
เงินออมภาคสมัครใจสำหรับเตรียมไว้ใช้เมื่อเกษียณ นำมาลดหย่อนภาษีได้
เงื่อนไข – เริ่มจ่ายเงินบำนาญอย่างน้อยตั้งแต่อายุ 55 ปี ขึ้นไป จนถึงอายุไม่ต่ำกว่า 85 ปี โดยกำหนดจ่ายสม่ำเสมอเป็นรายเดือน หรือรายปี
กรณีเวรคืนกรมธรรม์ก่อนกำหนด ต้องจ่ายเงินที่ได้รับการลดหย่อนภาษีปีก่อนๆ พร้อมคืนเงินเพิ่มให้สรรพากร
9. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
สำหรับคนทำงานอิสระ คนหาเช้ากินค่ำ ที่ไม่อยู่ในระบบสวัสดิการบำเหน็จบำนาญอื่นของรัฐ
เงื่อนไข
ออมขั้นต่ำได้ 50 บาท และสูงสุด 13,200 บาทต่อปี
อายุสมาชิกขณะส่งเงินออม
- 15-30 ปี รัฐสมทบ 50% ของเงินสะสม สูงสุด 600 บาท/ปี
- > 30-50 ปี รัฐสมทบ 80% ของเงินสะสม ไม่เกิน 960 บาท/ปี
- > 50-60 ปี รัฐสมทบ 100% ของเงินสะสม ไม่เกิน 1,200 บาท/ปี
ได้เงินบำนาญเมื่ออายุ 50 ปี บำนาญขั้นต่ำ 600 บาทต่อเดือน เมื่อออม 13,200 บาท/ปี ตั้งแต่ 15-60 ปี และเมื่อออมระยะสั้น 13,200 บาท/ปี เป็นเวลา 10 ปี
เห็นตัวเลขละลานตาอย่างนี้ ดูแล้วโอ้โห ไทยก็มีระบบบำนาญตั้งหลายอย่าง แต่ถ้าสังเกตดี ๆ คือ คนหนึ่งคนจะได้บำเหน็จหรือบำนาญจากระบบบำนาญบางอย่างเท่านั้น และจำนวนเงินที่ได้ ก็ไม่ได้มากมายอะไร ถ้าเป็นกองทุนประกันสังคม สำหรับลูกจ้างทั่วไทย
หรือถ้าเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่ลูกจ้าง ข้าราชการใส่เงินสะสมเข้าไปได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าตอนใส่ ใส่เยอะแค่ไหน และตอนเลือกนโยบายลงทุนให้กับเงินก้อนนี้ เลือกนโยบายแบบไหน
เพราะถ้าเลือกแบบเสี่ยงต่ำมาก ๆ ผลตอบแทนปลายทางวัยเกษียณก็น้อยมาก แต่ถ้าเลือกแบบความเสี่ยงสูง ก็มีทั้งโอกาสได้ผลตอบแทนสูงมาก และขาดทุนสูงมาก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อลงทุนระยะยาว 10 ปีขึ้นไป โอกาสที่จะขาดทุนก็จะเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ
แบ่งเกรดระบบบำนาญทั่วโลก สวัสดิการหลังเกษียณ ของไทยเป็นยังไง
ทีนี้พี่ทุยขอพาไปเปรียบเทียบสวัสดิการหลังเกษียณของทั่วโลก Mercer บริษัทให้คำปรึกษาระดับโลก และ CFA Institute ร่วมกันจัดทำ Mercer CFA Institute Global Pension Index (MCGPI) ซึ่งเป็นดัชนีระบบบำนาญทั่วโลก ประจำปี 2022 โดยหยิบระบบใน 44 ประเทศมาให้เกรด ผลที่ออกมารอบนี้ คือ ระบบบำนาญของไทย ได้เกรด D และจุดพีคกว่านั้นก็คือ เป็นที่โหล่ของตาราง ด้วยคะแนนรวมต่ำสุด 41.7
ส่วนประเทศที่คะแนนสูงสุดคือ ไอซ์แลนด์ 84.7 ตามด้วย เนเธอร์แลนด์ 84.6 และเดนมาร์ก 82.0
พี่ทุยขอเล่าเสริมว่า ในการคำนวณคะแนนของระบบบำนาญแต่ละแห่งในโลก การสำรวจครั้งนี้คำนวณจาก 3 ประเด็นย่อย คือ 1. ความเพียงพอ (ให้น้ำหนักคะแนน 40%) 2. ความยั่งยืน (ให้น้ำหนักคะแนน 35%) 3. ความซื่อสัตย์ (ให้น้ำหนักคะแนน 25%) แล้วเอาคะแนนมาบวกกันเป็นคะแนนรวม
ระบบของไอซ์แลนด์ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งนั้น ได้คะแนนรวม 84.7 เมื่อดูแยกย่อยในแต่ละด้าน ก็พบว่า มีคะแนนความเพียงพอ 85.8 เป็นอันดับ 1 เทียบทุกระบบ คะแนนความยั่งยืน 83.8 เป็นอันดับ 1 เทียบกับทุกระบบเช่นกัน แต่คะแนนความซื่อสัตย์นั้นอยู่ที่ 84.4 ซึ่งเทียบแล้วเป็นอันดับ 7 ใน 44 ประเทศ
ที่มา : Mercer CFA Institute Global Pension Index 2022
ส่วนอันดับ 44 หรือ อันดับสุดท้ายในตารางที่ไทยได้นั้น มีคะแนนรวม 41.7 พอไปดูคะแนนแต่ละด้าน พบว่า คะแนนความเพียงพอ อยู่ที่ 41.3 คะแนนด้านความยั่งยืน 36.4 และคะแนนความซื่อสัตย์อยู่ที่ 50
ที่มา : Mercer CFA Institute Global Pension Index 2022
ในรายงานชี้ว่า ถึงแม้ไทยจะมีคะแนนรวมอันดับท้ายสุดของตาราง แต่ก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากการสำรวจรอบปี 2021 ที่ได้คะแนนแค่ 40.6
โดยระบบบำนาญของไทยครอบคลุมลูกจ้างในระบบมากขึ้น มีการเพิ่มเงินขั้นต่ำเพื่อสนับสนุนให้คนที่จนที่สุด มีการแนะนำสิทธิประโยชน์สำหรับการเกษียณโดยกองทุนบำนาญภาคเอกชน (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) โดยบวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ที่ได้รับ นอกจากนี้ก็ยังปรับปรุงเรื่องธรรมาภิบาลในระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย
คราวนี้ พี่ทุยจะพามาเจาะลึกอีกขั้นว่า ในระบบบำนาญของไทยมีอะไรอยู่บ้าง
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย – ระบบรายได้ยามชราภาพที่จัดการโดยภาครัฐ ทำไมต้องปฏิรูปและเราจะปฏิรูปอย่างไร (bot.or.th)
สวัสดิการหลังเกษียณ ของไทย ควรพัฒนาอย่างไร
ทั้งนี้ พี่ทุยไปเจอบทความหนึ่งในเว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำเสนอเรื่อง ระบบรายได้ยามชราภาพที่จัดการโดยภาครัฐ ทำไมต้องปฏิรูปและเราจะปฏิรูปอย่างไร ซึ่งน่าสนใจ เลยอยากจะหยิบมาแชร์กัน
ในบทความ ชี้ว่า โจทย์ใหญ่ของระบบรายได้ยามชราภาพ แทบเป็นโจทย์เดียวกันสำหรับทุกประเทศ คือ ทำยังไงให้ผู้สูงอายุทุกคนมีรายได้เพียงพอยังชีพยามชรา ขณะที่ระบบเองก็ต้องมีความยั่งยืนทางการคลังด้วย
พร้อมกันนี้ยังนำเสนอแนวทางปฏิรูประบบในไทยผ่าน 6 ข้อเสนอคือ
1. การออกแบบระบบการจัดการรายได้ยามชราภาพของภาครัฐต้องคิดแบบบูรณาการ ผู้สูงอายุคนหนึ่งมีรายได้ยามชราภาพจากหลายระบบ
2. ไทยต้องมีวิสัยทัศน์ร่วมเรื่องนโยบายระบบรายได้ผู้สูงอายุ อาจจะตั้งคณะกรรมการวิเคราะห์ภาพใหญ่นโยบายระบบบำเหน็จบำนาญทั้งหมด โดยต้องคิดให้ครอบคลุมระบบทั้งหมด
3. ทุกระบบรายได้ผู้สูงอายุของไทย ไม่ได้มีแนวคิดเรื่องมูลค่าเงินที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไปเลย ทั้งผลตอบแทน เพดานเงินสมทบ และเงินร่วมสมทบ ซึ่งควรปรับตัวแปรเหล่านี้ให้เป็นมูลค่าที่แท้จริง เพื่อให้บำเหน็จบำนาญเพียงพอค่าครองชีพที่สูงขึ้น
4. ควรเปลี่ยนกฎเกณฑ์หลายข้อของระบบประกันสังคมภาคบังคับเพื่อให้ระบบมีความยั่งยืนทางการคลัง เงินบำนาญเพียงพอ
5. การออกแบบระบบรายได้ยามชราภาพจำเป็นต้องเข้าใจตลาดแรงงานของประเทศ ซึ่งแรงงานไทยมีการทำงานหลากหลายมีการย้ายตัวเองระหว่างการเป็นลูกจ้างในระบบ นอกระบบ การอยู่ในระบบราชการกับเอกชน จึงควรออกแบบระบบให้เอื้อกับรูปแบบการทำงานที่หลากหลาย
6. ควรปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขึ้น
พี่ทุยมองว่า นอกจากข้อเสนอที่บทความนี้ว่ามาแล้ว ก็มีอีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ เงินกองทุนบางรายการ ที่ถูกวางเอาไว้ให้เป็น “เงินบำนาญ” ถูกนำออกมาก่อนเกษียณได้ ทำให้บางคนซึ่งไม่ได้มองไปที่ปลายทางของการเกษียณ หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วน และคิดไม่ออกว่าจะไปพึ่งพาเงินก้อนไหน มีเพียงแต่เงินก้อนนี้ เลือกที่จะหยิบเงินที่มีจุดประสงค์เพื่อการเกษียณออกมาใช้ก่อน
ดังนั้นท้ายที่สุดเงินก้อนนี้ที่มีวัตถุประสงค์ไว้ให้ใช้ตอนเกษียณ ก็เลยไม่มีเหลืออยู่จริงเมื่อเกษียณแล้ว
เพราะฉะนั้น พี่ทุยจึงอยากฝากทุกคนไว้ว่า ถ้าใครมีเงินกองทุนไหนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการเกษียณ หากไม่จำเป็นจริง ๆ ก็อย่าไปเอามันออกมาก่อนเกษียณเลย ไม่งั้นเราสบายวันนี้ แต่จะลำบากเอาในวันหน้าที่เราไม่มีแรงทำงานแล้ว
และถ้าเป็นไปได้พยายามสะสมเงินก้อนเข้าไปในกองทุนที่เก็บไว้ใช้ยามเกษียณให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะในวัยเกษียณที่เราทำงานหาเงินไม่ได้ดีอย่างในวัยทำงานแล้ว เราจะได้มีเงินเพียงพอกับการใช้ชีวิตจนถึงปลายทางสุดท้าย
นอกจากนี้ ขอย้ำอีกครั้งส่งท้ายว่า อย่าคิดว่าอีกนานกว่าจะเกษียณ เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร และเงินจะเติบโตได้ก็ต้องอาศัยเวลาทำงานเหมือนกัน แป๊บ ๆ ไปเข็มนาฬิกาหมุนมาอีกทีก็เกษียณแล้ว ถ้าไม่ลงมือตอนนี้ จะลงมือกันตอนไหน ในเมื่อเรายังฝากความหวังไว้ที่รัฐให้ช่วยดูแลเราดี ๆ ไม่ได้ ก็ต้องดูแลตัวเองกันให้ดีก่อน