เมื่อคืนวันอังคารที่ 25 เม.ย. 2566 ราคาหุ้น First Republic Bank ร่วงวันเดียวกว่า 49% วันถัดมาร่วงอีก 29% กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ กดดันดัชนี Dow Jones, S&P500 และ Nasdaq ร่วงกว่า 1%
การปรับตัวลงอย่างหนักเกิดขึ้นภายหลังธนาคารเผยผลประกอบการไตรมาสแรกของปีแล้วพบว่ายอดเงินฝาก 41% คิดเป็นเงินกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ สร้างความกังวลว่า First Republic อาจล้มละลายตาม Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank
พี่ทุยจะพาทุกคนไปเจาะลึกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การแก้สถานการณ์ และทางออกที่เหลืออยู่ของ First Republic
First Republic Bank ล้มละลาย จริงไหม ?
ในการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/2023 ของ First Republic พบว่ายอดเงินฝากลดลงกว่า 41% อยู่ที่ 104,500 ล้านดอลลาร์ แม้ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารยักษ์ใหญ่ในวอลล์สตรีทในรูปแบบเงินฝาก โดยหากไม่ได้รับการช่วยเหลือนี้ ยอดเงินฝากอาจลดลงไปถึง 50%
Michael Roffler CEO ของ First Republic เผยว่าสถานการณ์การแห่ถอนเงินฝากลดลงแล้ว และมีเสถียรภาพตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตัวเลขเงินฝากเมื่อวันที่ 21 เมษายน อยู่ที่ 102,700 ล้านดอลลาร์ ลดลงเพียง 1.7% จากวันที่ 31 มีนาคม และน่าจะเกิดจากช่วงเวลาจ่ายภาษีของประชาชนทั่วไป
สำหรับไตรมาสแรกของปี First Republic รายได้ลดลง 13.4% จากไตรมาสแรกของปีก่อน รายได้จากดอกเบี้ยลดลง 19.4% จากไตรมาสแรกของปีก่อน แต่กำไรต่อหุ้น (EPS) ยังสูงกว่าคาดการณ์ โดยออกมาที่ 1.23 ดอลลาร์ต่อหุ้น
First Republic แก้ปัญหาอย่างไร?
First Republic มีแผนเลิกจ้างพนักงานประมาณ 20-25% ในไตรมาส 2/2023 พร้อมลดค่าใช้จ่ายด้วยการลดค่าตอบแทนผู้บริหาร ลดพื้นที่สำนักงาน และลดโครงการที่จำเป็นลง แท้จริงแล้วปัญหาเกิดจากความไม่มั่นใจส่งผลให้ประชาชนแห่ถอนเงินฝาก เพราะช่วงที่เกิดปัญหาเงินฝากกว่า 2 ใน 3 ที่อยู่กับธนาคารมีจำนวนเงินสูงกว่าระดับที่ FDIC รับประกันเงินฝาก
การแห่ถอนเงินฝากเปิดให้เห็นปัญหาความไม่สอดคล้องกันของระดับเงินฝากกับสินเชื่อและการลงทุนระยะยาวของธนาคาร ข้อมูลเมื่อสิ้นไตรมาส 4/2022 เผยว่า First Republic Bank มีอัตราส่วนสินเชื่อและการลงทุนระยะยาวต่อเงินฝากที่ 111% หมายความว่ามีสินเชื่อและการลงทุนระยะยาวสูงกว่ายอดเงินฝาก และเมื่อใดที่เกิดการแห่ถอนเงิน เมื่อนั้นธนาคารจะมีสภาพคล่องไม่เพียงพอรับมือการถอนเงิน
ดังนั้น First Republic กำลังพิจารณาขายสินทรัพย์ประมาณ 50,000 – 100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมไปถึงสินเชื่อบ้านระยะยาวและสินทรัพย์ลงทุน เพื่อแก้ปัญหาความไม่สอดคล้องกันของระดับเงินฝากกับสินเชื่อและการลงทุนระยะยาวของธนาคาร โดยผู้ที่ซื้อมีโอกาสได้รับวอร์แรนท์หรือหุ้นบุริมสิทธิเพื่อจูงใจให้ซื้อสินทรัพย์เหล่านี้ด้วยราคาสูงกว่าราคาตลาด
ใครเข้ามาช่วย First Republic Bank
First Republic พยายามเพิ่มขนาดงบดุลโดยเฉพาะสภาพคล่องเพื่อป้องกันการถูกควบคุมกิจการโดย FDIC หรือสร้างโอกาสในการได้รับการเพิ่มทุน
อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวจาก Bloomberg ว่าถ้าหากธนาคารยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดในการสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินได้ในเร็วนี้ ก็อาจถูก FDIC ลดคะแนนสภาพการเงินธนาคารได้ ซึ่งจะจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือ discount window จาก Fed และมาตรการช่วยเหลือฉุกเฉินที่ออกมาเดือนก่อน
การแก้ปัญหาระหว่างภาครัฐกับธนาคารเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม โดย FDIC ต้องการให้ธนาคารบรรลุข้อตกลงความช่วยเหลือกับกลุ่มทุน ทำให้ภาครัฐไม่ต้องเข้าไปควบคุมกิจการหรือไม่กระทบต่อกองทุนประกันเงินฝากของ FDIC
ด้านธนาคารกลับหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระทบบต่อฐานะการเงินน้อยที่สุด และต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น ให้ FDIC เข้าควบคุมสินทรัพย์ส่วนที่ธนาคารต้องการน้อยที่สุด ซึ่งความช่วยเหลือจากภาครัฐจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ First Republic ล้มละลายและถูกควบคุมกิจการ
ทางเลือกที่เหลืออยู่ของ First Republic
- ทางเลือกที่ 1 : ดำเนินกิจการต่อไป
การเลือกทางนี้ หมายถึง เดินหน้ารับแรงกระแทกต่อไป แล้วรอให้สินทรัพย์ลงทุนและสินเชื่อครบอายุ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของธนาคาร โดย CEO เปิดเผยว่าธนาคารมีสภาพคล่องเพียงพอ และมากกว่าเงินฝากที่จำนวนเงินในบัญชีสูงกว่าระดับที่ FDIC รับประกันเงินฝากถึง 2 เท่า
- ทางเลือกที่ 2 : ขายสินทรัพย์ให้ธนาคารขนาดใหญ่หรือกลุ่มทุน
First Republic ต้องการขายสินเชื่อและสินทรัพย์ลงทุนในราคาต้นทุน (สูงกว่าราคาตลาด) โดยผู้ซื้อจะได้รับหุ้นบุริมสิทธิเป็นการจูงใจให้ซื้อสินทรัพย์
ธนาคารขนาดใหญ่ก็อยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก ฝั่งภาครัฐไม่ต้องการให้ First Republic ล้มละลาย และขอให้ธนาคารขนาดใหญ่ลงขันเงินช่วยเหลือ ซึ่งฝั่งธนาคารขนาดใหญ่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ว่าจะเสียเงินซื้อกิจการไปเลยตอนนี้ หรือจะเสียเงินลงขันช่วยเหลือทีหลัง ที่ผ่านมา JPMorgan ก็เป็นหัวเรือใหญ่ช่วยเหลือ First Republic
- ทางเลือกที่ 3 : ล้มละลายและถูกควบคุมกิจการ
เป็นทางเลือกที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้ถือหุ้น เพราะเมื่อหน่วยงานรัฐเข้าควบคุมกิจการแล้ว สินทรัพย์ทั้งหมดจะถูกจัดสรรเพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ คืนเงินแก่ลูกค้า จากนั้นค่อยจ่ายส่วนที่เหลือให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งมักจะไม่ค่อยมีอะไรเหลือถึงผู้ถือหุ้น
ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้ความชัดเจนว่าภาครัฐจะไม่ให้ความช่วยเหลือผู้ถือหุ้น และปล่อยให้เป็นไปตามกลไกระบบทุนนิยม
พี่ทุยมองว่าสถานการณ์นี้สามารถเป็นไปได้ทุกทางเลือก ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและกระแสของประชาชน อย่างไรก็ตามหากดูจากตัวเลขทางการเงินและการควบคุมสถานการณ์ของภาครัฐ แม้จะเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ก็ไม่น่าลุกลามจนทำให้ระบบการเงินสหรัฐฯ หรือทั่วโลกเข้าสู่วิกฤติ