ช่วงต้นเดือน ก.ค. 2566 ซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน OPEC+ (ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันที่อยู่นอกกลุ่ม OPEC) ออกมาประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลง โดยข่าวนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง วันนี้พี่ทุยก็เลยอยากจะชวนทุกคน วิเคราะห์ราคาน้ำมัน ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 นี้ ราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะขึ้นต่อไปไกลแค่ไหน
สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลก
ปัจจัยส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันในโลก
(-) ภาคการผลิตตกต่ำ
(+) มีแรงหนุนจากการใช้ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น
(+) ความต้องการใช้น้ำมันในโลกที่เติบโต มีสัดส่วนมาจากจีน 70%
(-) การบริโภคของประเทศในกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ยังอ่อนแอ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำมันในโลก
- รัสเซีย ลดการส่งออกน้ำมันลง 500,000 บาร์เรล/วัน เริ่มเดือน ส.ค. นี้ แต่ยังคงผลิตสำหรับรองรับความต้องการในประเทศตามปกติ
- ซาอุดีอาระเบีย ลดกำลังการผลิตอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือน ก.ค. – ส.ค. 2566 เพื่อเสถียรภาพและความสมดุลในตลาดน้ำมัน
- กลุ่มประเทศ OPEC+ ขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันไปจนถึงปี 2567
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก
(-) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางอีกหลายแห่งในโลก ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด กระทบบรรยากาศการลงทุน
(-) ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลก ได้รับแรงกดดันจากความท้าทายทางเศรษฐกิจ
(-) ความต้องการในจีนไม่ได้ฟื้นตัวมากอย่างที่คาดการณ์ไว้
(+) ตลาดน้ำมันช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีแนวโน้มตึงตัว จากการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมของกลุ่ม OPEC+
วิเคราะห์ราคาน้ำมัน สำนักต่าง ๆ คาดการณ์ยังไง
1. WTI เป็นราคาอ้างอิงการซื้อขายน้ำมันดิบในอเมริกาเหนือ
2. Brent เป็นราคาอ้างอิงการซื้อขายน้ำมันดิบในยุโรป แอฟริกา และเอเชียบางส่วนที่มีพรมแดนใกล้ยุโรป
3. Dubai เป็นราคาอ้างอิงการซื้อขายน้ำมันดิบในเอเชียเป็นส่วนใหญ่
ถ้าไปดูจากข้อมูลปี 2565 ที่ผ่านมา พบว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 76.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ 80.90 ดอลลาร์/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Dubai อยู่ที่ 76.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
ฉะนั้น หากข้อมูลเป็นไปตามคาดการณ์ของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ก็แปลว่า ราคาน้ำมันดิบ สิ้นปี 2566 มีแนวโน้มจะใกล้เคียงหรือลดลงเพียงเล็กน้อยจากราคา ณ สิ้นปี 2565 ส่วนถ้าดูจากผลสำรวจของ Reuters ที่มาจากการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 30 คน ก็จะพบว่า มองราคาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบ Brent ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2565 มากกว่าที่ EIA มอง
ในส่วนของ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ของไทยเรา ก็มีการคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบเอาไว้เช่นกัน แต่เป็นการคาดการณ์ ราคาน้ำมันดิบ Dubai โดยสิ้นปีนี้ มองว่า จะอยู่ที่ 81-87 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งหมายความว่า มองราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม พี่ทุยมองว่า ถึงแม้ดูจากคาดการณ์แล้ว ราคาจะไม่ได้ปรับขึ้นหรือลดลงมากเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 แต่ระหว่างปี ราคาน้ำมันก็อาจจะผันผวนได้จากปัจจัยที่เข้ามากระทบ ทั้งฝั่งความต้องการใช้น้ำมัน และฝั่งการผลิต อย่างเช่นในช่วงเดือน ก.ค. นี้ ที่มีข่าวเรื่องการลดกำลังการผลิตของประเทศยักษ์ใหญ่ผู้ส่งออกน้ำมัน ก็ทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วิเคราะห์ราคาน้ำมัน ในไทยเดือน ก.ค. 2566
พอหันกลับมาดูราคาน้ำมันในไทย โดยพี่ทุยลองอ้างอิงจากราคาน้ำมันที่ ปตท. ก็จะพบว่า ในช่วงเดือน ก.ค. 2566 เฉพาะครึ่งเดือนแรก (1-15 ก.ค. 2023) ราคาน้ำมันดีเซลยังไม่มีการปรับเปลี่ยน แต่ราคาน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม E85 E20 Gasohol91 Gasohol95 จนกระทั่งเบนซินระดับพรีเมียมที่ไม่มีส่วนผสมของเอทานอล โดยปรับขึ้นมา 1.80 บาทแล้ว
สำหรับสาเหตุที่ครึ่งแรกของเดือน ก.ค. 2566 ราคาน้ำมันดีเซลในไทยไม่มีการปรับขึ้นเลยตลอด ในขณะที่ราคาน้ำมันเบนซิลขึ้นไม่หยุด ก็มาจากรัฐบาลยังคงมีมาตรการออกมาเพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลเอาไว้ไม่ให้เกิน 35 บาท/ลิตร เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจนเป็นอุปสรรคกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนในช่วงที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบผันผวน
สิ่งที่รัฐบาลที่ผ่านมาทำ คือการใช้มาตรการทางภาษีสรรพสามิตเพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันดีเซล โดยลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลลง 5 บาทต่อลิตร ซึ่งมาตรการนี้มีผลสิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค. 2566
ขณะที่ การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุดวันที่ 11 ก.ค. 2566 ที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังนั่งรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ก็มีมติออกมาเกี่ยวกับเรื่องการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ที่มาตรการทางภาษีมีผลสิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค. 2566 แปลความได้ว่า ไม่ได้มีการต่ออายุมาตรการด้านภาษี ด้วยเหตุผลว่า การดำเนินมาตรการทางภาษี จะทำให้เกิดผลผูกพันรัฐบาลในอนาคต ซึ่งครม.ที่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ไม่สามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม ครม. ระบุไว้ว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถทำหน้าที่ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลได้โดยการใช้มาตรการของกองทุนน้ำมันที่มีฐานะการเงินดีขึ้นทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซล
หลังจากนี้ ก็คงต้องมาลุ้นกันว่า พอผ่านพ้น 20 ก.ค. 2566 ไปแล้ว ราคาน้ำมันดีเซลจะขึ้นมาทันทีพรวดเดียว 5 บาทต่อลิตรเลย รึเปล่า เพราะดูทรงแล้วก็ยังไม่มีความแน่นอนว่า จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 ก.ค. 2566 รึเปล่า และถึงจะโหวตทันจริง ๆ ก็ยังต้องรอการจัดตั้ง ครม. ไปดูแลแต่ละกระทรวงอีก ฉะนั้น ก็การอุดหนุนน้ำมันต่อโดยมาตรการภาษี ก็คงไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
เอาเป็นว่า มาร่วมลุ้นไปด้วยกัน แต่ยังไงแล้ว ใครที่ขับรถที่ใช้น้ำมันดีเซล ก็เตรียมสำรองเงินในกระเป๋ารอไว้ก่อนเลย เพราะถ้าน้ำมันขึ้นทีละ 5 บาท เงินในกระเป๋าก็น่าจะหายวูบไปเร็วเหมือนกันหลังจากนี้
ส่วนราคาน้ำมันที่เราต้องจ่าย โดยรวมแล้วจะใกล้เคียงกับปลายปี 2566 เหมือนกับแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้ เพราะนอกจากราคาจะต้องล้อไปกับราคาในตลาดโลกแล้ว ยังต้องมีเรื่องภาษีสรรพสามติ ภาษีท้องถิ่น ค่าการตลาด ค่าการดำเนินการต่าง ๆ มาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตัวแปรเหล่านี้ อาจจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงหรือแพงขึ้น ตอบสนองต่อทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกล่าช้ากว่าได้
อ่านเพิ่ม