จับตา “วิกฤตหนี้เมียนมา" เสี่ยงถังแตกหลังรัฐประหาร - กระทบกับธุรกิจไทยแค่ไหน

จับตา “วิกฤตหนี้เมียนมา” เสี่ยงถังแตกหลังรัฐประหาร – กระทบกับธุรกิจไทยแค่ไหน

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • การระงับชำระหนี้ต่างชาติของเมียนมารอบนี้ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังคืบคลานเข้ามา เพราะทางการเมียนมาพยายามดำเนินมาตรการสกัดการรั่วไหลของเงินตราต่างประเทศมาแล้วหลายรอบ
  • รากเหง้าปัญหาเกิดจากการทำรัฐประหารที่นำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ แถมยังต้องมาเจอกับปัญหาโควิด-19 และวิกฤตราคาพลังงานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนเล่นงานซ้ำอีก
  • มีธุรกิจไทยจำนวนไม่น้อยที่จะได้รับผลกระทบ เพราะพม่าถือเป็นคู่ค้าและฐานการลงทุนที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

เป็นประเด็นใหญ่ทีเดียวเมื่อธนาคารกลางของเมียนมาประกาศให้สถาบันการเงิน นักธุรกิจ และประชาชนในประเทศที่กู้ยืมเงินจากต่างประเทศมาให้ระงับการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเอาไว้ชั่วคราวก่อน ซึ่งนี่เป็นสัญญาณว่าเมียนมากำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อรักษาระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเอาไว้ ไม่ให้เข้าสู่ “วิกฤตหนี้เมียนมา” ตามรอยประเทศอื่น ๆ 

หลายคนคงสงสัยใช่ไหมว่า สรุปแล้วกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจและการเงินของเมียนมานอกจากนี้ มีธุรกิจใดของไทยในเมียนมาที่น่าจะได้รับผลกระทบกันบ้าง วันนี้พี่ทุยมีคำตอบให้

เมียนมาดิ้นรนมาหลายเฮือกแล้ว

ปมปัญหาทุนสำรองระหว่างประเทศซึ่งเปรียบเป็นบัญชีทรัพย์สินของประเทศร่อยหรอลงเป็นเรื่องที่ดำเนินต่อเนื่องมาสักระยะหนึ่งแล้ว 

เพราะเมื่อเดือน มิ.ย.2565 ทางการเมียนมาก็เพิ่งประกาศห้ามการนำเข้ารถยนต์จากต่างชาติไป รวมถึงเข้มงวดการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยเข้ามาในประเทศ คงไว้แต่สินค้าจำเป็นบางรายการเท่านั้น อาทิ ปุ๋ยเคมี และสินค้าเกษตร

ขณะที่ก่อนหน้านั้นเมื่อเดือน เม.ย. ในปีเดียวกันนี้ ธนาคารกลางเมียนมาก็เพิ่งประกาศให้ทุกบริษัทแปลงรายรับให้มาอยู่ในรูปสกุลเงินจ๊าดให้หมดภายในวันเดียว แถมยังบังคับให้แลกเป็นเรทที่ทางการกำหนดเท่านั้นที่ 1,850 จ๊าดต่อ 1 ดอลลาร์ แต่อัตราแลกเปลี่ยนจริงในตลาดที่ยอมรับกันอยู่ที่ 2,200 จ๊าดต่อ 1 ดอลลาร์

ล่าสุดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในปัจจุบันเหลือยู่ที่ 7,800 ล้านดอลลาร์ แต่กลับมีหนี้สินที่ต้องจ่ายคืนกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์

“รัฐประหาร” รากเหง้าของวิกฤต “วิกฤตหนี้เมียนมา”

หากจะว่ากันจริง ๆ แล้ว จุดเริ่มต้นของวิกฤตของเศรษฐกิจเมียนมาก็เริ่มมาจากการรัฐประหารของกองทัพเมื่อเดือน ก.พ. 2564

การเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนได้ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติลงอย่างหนัก เพราะมองว่าจะเกิดการต่อต้านจากประชาชนและความไม่สงบตามมา ตลอดจนการยอมรับจากประชาคมโลก

ซึ่งตลอด 1 ปีกว่าที่รัฐบาลทหารเมียนมาร์ครองอำนาจก็เป็นแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่สามารถควบคุมความสงบและสร้างการยอมรับจากประชาชนและนานาชาติได้เลย

ทำให้ที่ผ่านมาทุนต่างชาติต่างย้ายหนีหรือไม่ก็ระงับแผนการลงทุนในเมียนมาเยอะมาก จนทำให้ความเชื่อมั่นของประเทศที่เคยเป็นดั่งดาวเด่นเมื่อหลายปีก่อนดิ่งลงเหวในทันที สะท้อนได้จากจำนวนคนตกงานที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ค่าเงินจ๊าดก็ร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งก็ยิ่งทำให้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศแพงขึ้น โดยปัจจุบันมูลค่าของค่าเงินจ๊าดลดลงไปแล้วกว่า 60% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการยึดอำนาจของรัฐบาลทหาร 

และไหนต้องมาเผชิญกับแผลเป็นจากหนี้สินที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 และภาวะราคาน้ำมันแพงขึ้นจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครนในปัจจุบันก็ยิ่งทำให้สภาพเศรษฐกิจและการเงินของเมียนมาร์ตกอยู่ในภาวะสะบักสะบอมไม่น้อย

มิหนำซ้ำทรัพย์สินเงินทองของรัฐบาลเมียนมาที่ฝากไว้ในต่างประเทศก็ยังมาโดนกลุ่มประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นอายัดเอาไว้ รวมถึงการโดนกีดกันทางการค้าและการลงทุนจากชาติที่ไม่ต้อนรับรัฐบาลทหาร

ทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นเหตุทำให้เมียนมาขาดแคลนสกุลเงินตราต่างประเทศอย่างหนักในเวลานี้ 

มีธุรกิจใดบ้างที่จะได้รับผลกระทบ

แน่นอนว่าการสั่งระงับจ่ายหนี้ต่างประเทศของธนาคารกลางเมียนมาย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจของไทยที่เข้าไปลงทุนในเมียนมาอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ต้องนำเข้า-ส่งออกสินค้าและวัตถุดิบผ่านทางท่าเรือ หรือ เครื่องบิน เพราะต้องใช้เงินดอลลาร์ในการซื้อขายกับซัพพลายเออร์ต่างชาติที่ส่งต่อวัตถุดิบให้ จึงเสี่ยงที่จะทำให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวเสี่ยงหยุดชะงัก เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับชำระหนี้จากต้นทางที่อยู่ในเมียนมา  

อย่างไรก็ดี กลุ่มนำเข้าส่งออกสินค้าอาจไม่กระทบมากนัก เพราะ 80% เป็นการค้าชายแดน ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลเมียนมาอนุญาตให้ซื้อขายโดยใช้สกุลเงินบาท-จ๊าดได้โดยตรง   

ปัจจุบัน ไทย-เมียนมา มีมูลค่ามีมูลค่าการค้าต่อปีที่ประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ และไทยยังถือเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 รองจากจีนอีกด้วย 

นอกจากนี้ เมียนมายังเป็นหมุดหมายการลงทุนสำคัญของภาคธุรกิจไทย เพราะอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งพลังงานจำนวนมาก แถมยังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว

ดังนั้นการสั่งพักชำระหนี้ย่อมดังกล่าวของทางการเมียนมาส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของบริษัทไทยที่มีต่อเจ้าหนี้ต่างชาติตามไปด้วย

โดยปัจจุบันมีธุรกิจรายใหญ่ที่เข้าไปลงทุนประกอบด้วย

1. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท. สผ.)  ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานเป็นหลัก

2. บริษัท CP ดำเนินธุรกิจด้านอาหารและเกษตรในเมียนมาร์มา โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2539 และสินค้าเป็นที่นิยมอย่างมาก ทำให้มีการตั้งโรงงานทั้งที่นครย่างกุ้ง และในภาคเหนือตอนกลางของประเทศ

3. บริษัท SCG ดำเนินธุรกิจการขายวัสดุก่อสร้างโดยผ่านเอเย่นต์ในเมียนมา โดยมีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์กำลังผลิต 1.7 ล้านตัน/ปี ที่เมืองเมาะลำไย เป็นการร่วมทุนระหว่าง SCG 70% กับฝ่ายเมียนมา 30% โดยมีเงินลงทุน 378 ล้านดอลลาร์

4. บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจสถานีให้บริการเติมน้ำมัน ซึ่งที่ผ่านได้เข้าไปเปิดให้บริการสถานีน้ำมันในเมียนมาแล้วหลายแห่ง

5. บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องดื่ม โดยมีตัวแทนจำหน่ายประจำอยู่ตามแนวชายแดนเมียนมาร์

6. บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเมียนมา

จึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างยิ่งว่าการสั่งให้ระงับการชำระหนี้ต่างชาติทั้งหมดของเมียนมาจะเป็นสัญญาณเตือนที่จะลุกลามไปสู่วิกฤตในด้านอื่น ๆ ต่อหรือไม่

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile