ช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบทั่วโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนนักลงทุนทั้งตลาดต่างหันมาสนใจราคาหุ้นบริษัทพลังงาน แต่แล้วก็มีข่าวหนึ่งเข้ามากระทบบริษัท ปตท.สผ. หรือ PTTEP นั่นคือบริษัท Total ประกาศถอนตัวจากการเป็นผู้ร่วมทุนรายใหญ่ในโครงการ Yadana ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติใน “เมียนมา”
ส่งผลให้มีความกังวลว่าอาจกระทบต่อการผลิตและรายได้ของบริษัท PTTEP บทความนี้พี่ทุยเลยขอพาไปเจาะลึกรายละเอียดและส่องผลกระทบต่อ PTTEP กันหน่อย พร้อมแล้วไปฟังกัน
ทำความรู้จักโครงการ Yadana
โครงการ Yadana เป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติที่ตั้งอยู่ที่อ่าวเมาะตะมะ ทะเลอันดามัน เมียนมา ห่างจากชายฝั่งที่ใกล้ที่สุดราว 60 กิโลเมตร ด้วยความร่วมมือระหว่างองค์กรท้องถิ่นและบริษัทน้ำมันจากชาติตะวันตกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบท่อส่งก๊าซบนพื้นดิน รวมไปถึงแท่นขุดเจาะและระบบท่อส่งก๊าซใต้ทะเล นับตั้งแต่ค้นพบก๊าซธรรมชาติในพื้นที่นี้ครั้งแรกเมื่อปี 1980 การพัฒนาแหล่งผลิตก๊าซ Yadana ก็เริ่มขึ้นในปี 1992 และเริ่มผลิตก๊าซสำหรับใช้ในเมียนมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2001
โดยมีบริษัท Total เป็นผู้ดำเนินการมีหน้าที่พัฒนาแหล่งผลิตก๊าซ Yadana และขนส่งก๊าซไปที่ชายแดนไทย-เมียนมา ภายใต้การร่วมทุนกับอีก 3 บริษัท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นดังนี้
บริษัท Total ถือหุ้น 31.23% บริษัท Unocal ถือหุ้น 28.26% บริษัท PTTEP ถือหุ้น 25.5% และบริษัท Myanmar Oil and Gas Enterprise ถือหุ้น 15%
ความสำคัญของโครงการ Yadana ต่อ “เมียนมา” และ “ไทย”
โครงการ Yadana เป็นแหล่งก๊าซที่สำคัญในเมียนมา โดยก๊าซที่ผลิตจะถูกใช้สำหรับผลิตไฟฟ้าในประเทศ 30% ของปริมาณที่ผลิตได้ และคิดเป็นประมาณ 50% ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในเมียนมา ส่วนอีก 70% ถูกส่งมายังประเทศไทย เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าในภาคตะวันตกของไทย โดยปริมาณดังกล่าวคิดเป็น 10-15% ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย
ความสำคัญของโครงการ Yadana ใน “เมียนมา” ต่อบริษัท PTTEP
โครงการ Yadana มีปริมาณผลิตคิดเป็น 1.8% ของกำลังผลิตรวมของบริษัท PTTEP คิดเป็น 3% ของรายได้ทั้งหมด และทำกำไรคิดเป็น 6% ของกำไรทั้งหมด ขณะเดียวกัน PTTEP มีโครงการในเมียนมาทั้งหมด 3 โครงการ ประกอบด้วย Zawtika, Yadana และ Yetagun มีสัดส่วนการลงทุน 80%, 25% และ 19% ตามลำดับ
สถานการณ์การถอนตัวของบริษัท Total
หลังเกิดการรัฐประหารในเมียนมาเมื่อต้นปี 2564 และปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเหตุให้หนึ่งในบริษัทร่วมทุนจากชาติตะวันตกอย่าง Total ได้ประกาศถอนตัวจากการเป็นผู้ร่วมทุนและผู้ดำเนินการในโครงการ Yadana และในบริษัท Moattama Gas Transportation Company (MGTC) ซึ่งดำเนินธุรกิจท่อส่งก๊าซจากโครงการในเมียนมา ส่วนผู้ร่วมทุนอีกรายอย่าง Unocal ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Chevron ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากสหรัฐฯ ยังไม่ออกมาชี้แจงสถานะอย่างเป็นทางการ
เมื่อบริษัท Total ประกาศถอนตัว ทาง PTTEP ได้ออกคำชี้แจงการเปลี่ยนแปลงผู้ร่วมทุนในโครงการ Yadana ว่าได้รับจดหมายอย่างเป็นทางการจากบริษัท Total เรียบร้อยแล้ว โดยระบุว่าบริษัท Total ยังเป็นผู้ดำเนินการโครงการต่อไปอีก 6 เดือน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านการดำเนินงานไปยังผู้ดำเนินการใหม่
จากนั้นมีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่าบริษัท Unocal ตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นผู้ร่วมทุนในโครงการ Yadana ซึ่งยังไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการ ทำให้บริษัทจากชาติตะวันตกทั้ง Total และ Unocal ซึ่งถือหุ้นในโครงการ Yadana รวมกันประมาณ 59.5% ถอนการลงทุนจากโครงการนี้เป็นที่เรียบร้อย
ซึ่งข้อตกลงจากกรณีที่ผู้ร่วมทุนรายใดถอนตัวจากโครงการ สัดส่วนการถือครองหุ้นจะถูกจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นที่เหลือเท่า ๆ กัน ซึ่งสัดส่วนจากการถอนตัวอย่างเป็นทางการของบริษัท Total จะถูกแบ่งให้ผู้ถือหุ้นที่เหลืออยู่อย่างแน่นอนแล้ว ด้านสัดส่วนของ Unocal ที่คาดว่าจะถอนตัวก็จะถูกแบ่งให้ผู้ถือหุ้นที่เหลืออยู่ตามข้อตกลงเช่นกัน
ล่าสุดมีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า PTTEP เตรียมเข้าซื้อหุ้น 59.5% โดยโฆษกสภาบริหารแห่งรัฐของเมียนมา แถลงว่ามีหลายบริษัทท้องถิ่นต้องการเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนี้ และการพูดคุยเจรจาระหว่างรัฐบาล บริษัท PTTEP และบริษัทที่ต้องการเข้ามาร่วมทุนรายอื่น โดยยังระบุต่อไปอีกว่า PTTEP มีความต้องการจะซื้อหุ้นทั้งหมดในส่วนของ Total และ Unocal แต่ทางรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะให้ PTTEP ครอบครองหุ้นส่วนนี้ทั้งหมดหรือไม่
มุมมองจากนักวิคราะห์ ต่อสถาณการณ์ PTTEP และ แหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติใน “เมียนมา”
การเปลี่ยนแปลงผู้ร่วมทุนส่งผลให้มีความกังวลแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น ดังนี้
1. ความต่อเนื่องในการผลิตและปริมาณการขายก๊าซ
ถึงแม้ว่าบริษัท Total จะถอนตัวจากการเป็นผู้ดำเนินการแล้ว แต่ยังคงอยู่ดำเนินการต่อไปอีก 6 เดือน ทำให้จะไม่กระทบต่อปริมาณการผลิตและขายก๊าซธรรมชาติแน่นอน ส่วนในระยะยาว PTTEP มีความสามารถเข้าไปดำเนินการต่อได้ ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตและขาย
2. การถือหุ้นในโครงการและผลกระทบต่อ PTTEP
นักวิเคราะห์มีความเห็นที่ตรงกันว่าการซื้อหุ้นของ PTTEP จะมีความชัดเจนภายในเดือน มี.ค. 2022 ฉะนั้นจึงทำได้เพียงแค่คาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งสถาบันการเงินบางสำนักมองว่าความไม่ชัดเจนนี้เป็นความเสี่ยง ขณะที่บางสำนักยังรอความชัดเจนโดยยังไม่ได้ความเห็นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม Credit Suisse มองว่า PTTEP จะเข้าลงทุนในสัดส่วนหุ้นที่เหลือของโครงการ Yadana เนื่องจากมีความสำคัญต่อเมียนมาและไทย อีกทั้งไม่ต้องใส่เงินลงทุนมากเพื่อดำเนินงานต่อไป โดยใช้เงินลงทุนราว 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งอยู่ในแผนการดำเนินงาน 5 ปี ของบริษัทอยู่แล้ว ส่วน บล.ทรีนิตี้ มองว่า PTTEP มีความสามารถเข้าไปดำเนินการต่อ และจะไม่กระทบต่อปริมาณการผลิตและขาย และยังมี upside จากปริมาณขายที่มากขึ้น เพราะได้สัดส่วนหุ้นจากบริษัทร่วมทุนที่ถอนตัวไป
ด้าน PTTEP มีฐานะการเงินที่พร้อมซึ่งประกอบไปด้วยเงินสด 2,500 ล้านดอลลาร์ และสามารถกู้เพิ่มได้อีก 2,000 ล้านดอลลาร์ จึงขึ้นอยู่กับว่าบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าโครงการนี้มีความเหมาะสมก็อาจซื้อหุ้นจากบริษัทร่วมทุนที่ถอนตัวไปก็ได้
พี่ทุยมองว่ายังคงต้องติดตามความชัดเจนอย่างเป็นทางการต่อไป โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ PTTEP จะเข้าถือหุ้นทั้งหมดจากผู้ร่วมทุนที่ถอนตัวออกไป ซึ่งจากมุมมองของนักวิเคราะห์ก็มองว่า PTTEP มีความพร้อมทั้งการดำเนินงานและการเงินสำหรับโครงการ Yadana และจะส่งผลเชิงบวกต่อปริมาณการผลิตและรายได้ของบริษัท
อ่านเพิ่ม