ธุรกิจส่งพัสดุไทย

ธุรกิจส่งพัสดุไทย เจ้าไหนจะเป็นผู้ชนะปี 2025 ?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • ตลาดขนส่งสินค้าอี-คอมเมิร์ซทั่วโลก คาดว่าจะเติบโตปีละ 22.6% ต่อปี จากนี้จนถึงปี 2032 โดยในปี 2024 มูลค่าตลาด คาดว่าจะอยู่ที่ 471.19 ล้านดอลลาร์​ ซึ่งเอเชียแปซิฟิก ถือเป็นภูมิภาคที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในโลก อยู่ที่ 43% 
  • SF Express ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใน Kerry Express ที่เตรียมรีแบรนด์เป็น KEX ในอนาคต ก็เป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลก ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นจีน A-Share 
  • ผู้เล่นรายสำคัญในตลาดขนส่งสินค้าอี-คอมเมิร์ซของไทย ได้แก่ ไปรษณีย์ไทย, Kerry Express, Flash Express, DHL และ J&T Express

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ใครเป็นแบบคุณสันติในซีรีส์ดัง “สงครามส่งด่วน” บ้าง เรื่องสั่งของออนไลน์ไม่มีพัก จนพี่ Flash Express หรือพี่ขนส่งคนอื่น ๆ มาส่งของถึงบ้านแทบทุกวัน จนเพื่อนบ้านเริ่มสงสัยว่าเราขายของออนไลน์หรือเปล่า ถ้าอ่านแล้วพยักหน้าแบบ “ใช่เลย!” ก็ไม่แปลกใจหรอก เพราะหลังจากซีรีส์เรื่องนี้ฮิตแรงบน Netflix จนหลายคนยกว่าเป็น “ซีรีส์ไทยที่ดีที่สุด” ก็ยิ่งทำให้เราเห็นชัดว่าธุรกิจส่งพัสดุไทยเติบโตแบบ “ซิ่งทะลุฟ้า” ไปกับการช้อปปิงออนไลน์ที่บูมจนแทบจะแซงหน้าโลกแล้ว และที่สำคัญ เรื่องราวของคมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้ง Flash Express ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ซีรีส์เรื่องนี้ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนไทยเราทำธุรกิจระดับยูนิคอร์นได้จริง ๆ

วันนี้พี่ทุยเลยอยากพามาดูสงครามส่งด่วนในชีวิตจริงทั้งของไทยและระดับโลกกันหน่อยว่า จะดุเดือดเหมือนในซีรีส์แค่ไหน

 

ธุรกิจส่งพัสดุไทย ตอนนี้ใครเป็นเจ้าตลาด

ต้องบอกว่าคนไทยช้อปออนไลน์เป็นชีวิตจิตใจ โดยผลสำรวจล่าสุดพบว่า 89% ของผู้บริโภคไทยยอมรับว่าโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะผ่าน TikTok (75%), Facebook (55%), YouTube (51%) และ Instagram (30%) ขณะที่ตลาด social commerce ของไทยเติบโต 18.6% ในปี 2025 มีมูลค่า $5.20 พันล้านเหรียญ และมูลค่าตลาดขนส่งพัสดุด่วนในปี 2024 สูงถึง $2.86 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 94 พันล้านบาท) และคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตรา 7.16% ต่อปี จนทะลุ $4.04 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 132 พันล้านบาท) ภายในปี 2030

 

รายชื่อผู้เล่นในตลาด ธุรกิจส่งพัสดุในไทย 2025

  • ไปรษณีย์ไทย (Thailand Post) ส่วนแบ่งตลาด 26.7% (ปี 2023) ยังคงเป็นผู้นำตลาด
  • Flash Express ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 และเติบโตอย่างรวดเร็ว
  • J&T Express อันดับ 3 ได้ประโยชน์จากการเติบโตของ TikTok Shop
  • Kerry Express (KEX) อันดับ 4 กำลังปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ภายใต้ SF Holding ที่ถือหุ้น 26.8%
  • DHL ยังคงอยู่ในท็อป 5 โดยเน้นคุณภาพมากกว่าราคา

 

ที่มา: SHIPPOP Co., Ltd. (2024), ShipHub (2024), Mordor Intelligence (2024)

 

ธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนในภูมิภาคอาเซียน บูมแค่ไหน

จากรายงาน Southeast Asia E-Commerce Logistics Market Report 2024 ที่จัดทำโดย parcelmonitor โดยสำรวจตลาดอี-คอมเมิร์ซในประเทศหลัก ๆ คือ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย คาดการณ์ประเด็นสำคัญ ๆ ดังนี้  

  • ปี 2025 ภูมิภาคอาเซียน จะมีรายได้จากตลาดอี-คอมเมิร์ซ ประมาณ 211,000 ล้านดอลลาร์ เป็นหนึ่งในตลาดอี-คอมเมิร์ซที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก 
  • ผู้บริโภคบนช่องทางดิจิทุลในภูมิภาคนี้ จะอยู่ที่ 402 ล้านคน ในปี 2027 คิดเป็น 88% ของประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปในภูมิภาค 
  • 91% ของผู้บริโภคอาเซียน พร้อมจะเปลี่ยนไปใช้บริการอี-คอมเมิร์ซคู่แข่ง ถ้าบริการลูกค้าไม่ดี 
  • จุดหมายปลายทางที่คนไทยนิยมให้ส่งของมากที่สุด คือ บ้าน 82% รองลงมาคือ ที่ทำงาน ตามด้วยในร้านค้า และล็อคเกอร์จัดเก็บพัสดุ 
  • 80% ของผู้บริโภค ต้องการให้ร้านค้าแจ้งระยะเวลาที่คาดว่าจะจัดส่งให้ชัดเจน 
  • นักช้อปชาวไทยเข้มงวดกับเรื่องเวลาจัดส่งมากที่สุด โดย 73% ระบุว่า ถ้าส่งล่าช้า 1-2 วัน ก็ยอมรับไม่ได้แล้ว ขณะที่ค่าเฉลี่ยที่ทั้งอาเซียนจะรับไม่ได้ คือล่าช้า 3-4 วัน 

ส่อง ธุรกิจโลจิสติกส์ขนส่งสินค้าอี-คอมเมิร์ซทั่วโลก

คาดการณ์ การเติบโตของตลาดโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้าอี-คอมเมิร์ซทั่วโลก +22.6% ต่อปี

ธุรกิจส่งพัสดุไทย เจ้าไหนจะเป็นผู้ชนะ ?

 

ส่วนแบ่งตลาดโลจิสติกส์ของแต่ละภูมิภาคในปี 2024

  • เอเชียแปซิฟิก 44.6% – 48.7% (เติบโตขึ้นจากปี 2022)
  • อเมริกาเหนือ 23.8% – 25% (เท่าเดิมหรือลดลงเล็กน้อย)
  • ยุโรป 20% – 22% (เท่าเดิมหรือลดลงเล็กน้อย)
  • ละตินอเมริกา 5% – 7% (เท่าเดิม)
  • ตะวันออกกลางและแอฟริกา 3% – 5% (เติบโตขึ้นเล็กน้อย)

ที่มา: Precedence Research, Grand View Research, IMARC Group (2024-2025)

การช้อปปิงสินค้าออนไลน์นั้น มีอิทธิพลต่อการเติบโตของตลาดขนส่งพัสดุค่อนข้างมาก ยิ่งคนช้อปออนไลน์เพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้มีความจำเป็นต้องให้บริการธุรกิจโลจิสติกส์มากขึ้นตาม และความต้องการของคนชอป ก็คือ จัดส่งเร็ว ประหยัด และเชื่อถือได้ ซึ่งก็ทำให้ผู้ประกอบการที่ก้าวขามาในธุรกิจนี้ ต้องแข่งขันกันตอบสนองความต้องการหลักๆ เหล่านี้ให้ได้

 

ตัวอย่างชื่อ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ อี-คอมเมิร์ซ รายใหญ่ในโลก 

  • Amazon (บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ) 
  • DHL International GmbH. (บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเยอรมนี)
  • FedEx Corporation (บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ) 
  • JD Logistics (บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง : จีน H-Share) 
  • SF Express (บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเซินเจิ้น : จีน A-Share) 

 

พี่ทุยต้องบอกว่า แบรนด์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ของโลก มีมากกว่านี้อีก แต่ที่หยิบยกมานี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่าง ที่คนเห็นชื่อแล้วพอจะร้องอ๋อเท่านั้น โดยที่ SF Express ที่เข้ามาถือหุ้น Kerry Express ในไทย ก็จัดว่าเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ในโลกรายหนึ่งเช่นกัน 

จะเห็นได้ว่า ตอนนี้ ในไทยเองก็มีผู้เล่นในธุรกิจโลจิสติกส์ระดับโลกที่เข้ามาอยู่แล้ว ซึ่งถ้าดูจากรายชื่อเจ้าตลาดที่มีส่วนแบ่งตลาดสูง ๆ อาจจะยังมีผู้เล่นระดับโลกไม่มาก แต่อันที่จริงแล้ว ก็มีผู้เล่นในตลาดโลกรายอื่นที่เข้ามาแล้ว เพียงแต่ยังมีส่วนแบ่งตลาดไม่ได้สูง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบธุรกิจไทยในตลาด ก็คงจะประมาทไม่ได้ เพราะว่า ในอนาคตก็มีโอกาสที่จะมีหน้าใหม่ ๆ ระดับโลก เข้ามาบุกตลาดเมืองไทยได้อีก อาจจะเป็นรูปแบบมาร่วมทุนกับผู้ประกอบการรายเดิมที่อยู่ในตลาด หรือเข้าซื้อกิจการไปเลย หรือ อาจจะเข้ามาจัดตั้งบริษัทลูกในไทยก็ได้

 

เทรนด์ธุรกิจโลจิสติกส์อี-คอมเมิร์ซ ปี 2025

โดย FedEx ได้สรุปเทรนด์สำคัญในปีนี้ออกมาทั้งหมด 3 เทรนด์ คือ 

1. Generative AI 

คนไทยเราโดยเฉพาะวัยทำงานถึง 62% เริ่มใช้ AI กันในชีวิตประจำวันแล้ว ใช้สำหรับคุยกับ chatbot ตอนช้อปออนไลน์ (ธุรกิจ e-commerce ไทย 22% มี chatbot แล้วนะ) ใช้หาข้อมูลสินค้า ให้ AI แนะนำของที่เหมาะกับเรา รวมทั้งใช้ AI shopping assistant ที่ฉลาดพอจะดูพฤติกรรมการซื้อของเราแล้วแนะนำของดี ๆ มาให้ ตลาด AI ในไทยตอนนี้มีมูลค่า 179.50 ล้านเหรียญในปี 2024 และคาดว่าจะโตแรงด้วยอัตรา 46.48% ต่อปีจนถึงปี 2030 เลยทีเดียว! ส่วนคนทำงานไทย 83% เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนโลกการทำงาน และ 70% พร้อมเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อให้ใช้ AI เป็นแล้ว

 

2. Social Commerce 

ช่องทางการค้าขายผ่านโซเชียลมีเดีย (Social commerce) ส่งผลกระทบหลัก ๆ กับธุรกิจขนาดเล็กในไทย ในปี 2024 และหลังจากนี้ โดยตลาด social commerce ของไทยมีมูลค่า $4.38 พันล้านเหรียญในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตเป็น $5.20 พันล้านเหรียญในปี 2025 (+18.6%) ขณะที่ 73% ของผู้บริโภคไทยซื้อสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย สูงกว่าค่าเฉลี่ยเอเชียแปซิฟิก (56%) และทั่วโลก (34%) และคาดว่าตลาด social commerce ไทยจะขยายตัวเป็น $8.46 พันล้านเหรียญภายในปี 2030 ผลสำรวจพบว่าช่องทางช้อปปิ้งยอดนิยมของคนไทยในเดือนที่ผ่านมาคือ Shopee (75%), Lazada (67%) และ TikTok (51%)

 

3. Digital payments

คนไทยชอบช้อปออนไลน์กันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการใช้บัตรเติมเงินและ digital wallet ที่กำลังบูมสุด ๆ ในไทย คาดว่าจะโตขึ้น 15.8% ในปี 2025 มีมูลค่าถึง 18.64 พันล้านเหรียญเลยทีเดียว! หลังจากที่ตลาดนี้โตแรงมาก ด้วยอัตรา 18.1% ต่อปีในช่วง 2020-2024 และคาดว่าจะโตต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยอัตรา 13.4% ต่อปีในช่วง 2025-2029 จนกลายเป็น 30.87 พันล้านเหรียญในปี 2029 นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยเราชอบซื้อของผ่านโซเชียลมีเดียกันถึง 73% เลย ซึ่งสูงกว่าเอเชียแปซิฟิก (56%) และทั่วโลก (34%) ด้วย ส่วนตลาด BNPL (Buy Now, Pay Later ; ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง) ในไทยก็คาดว่าจะโตแรงด้วยอัตรา 11.9% ต่อปีในช่วง 2024-2029 จาก 2.91 พันล้านเหรียญในปี 2023 กลายเป็น 6.03 พันล้านเหรียญในปี 2029

 

ความท้าทาย ธุรกิจส่งพัสดุไทย

ปัจจัยท้าทายธุรกิจโลจิสติกส์อี-คอมเมิร์ซ​ทั่วโลก 

  • ความกังวลเรื่องความปลอดภัยและการละเมิดข้อมูลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 
  • ระดับมลภาวะในอากาศที่เพิ่มขึ้น
  • ต้นทุนการจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้น 
  • มีพื้นที่จัดเก็บสินค้าเหลือว่างมากขึ้น 
  • ความเสี่ยงจากการฉ้อโกง และการไม่ชำระเงินเพิ่มขึ้น 

แนวโน้มการพัฒนาของธุรกิจโลจิสติกส์ อี-คอมเมิร์ซ

  • การนำ Internet of Thing (IoT) มาใช้ในการติดตามการส่งสินค้า การบริหารคลังสินค้าและระบบขนส่ง คาดการณ์การซ่อมบำรุง เป็นต้น
  • การใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ (Automate) สำหรับการจัดส่งไปยังสถานที่ขั้นสุดท้าย ทดแทนบางพื้นที่ยานพาหนะเข้าไม่ถึง ต้องเดินเท้าเข้าไป  
  • การใช้ Artificial Intelligence (AI) วิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารเส้นทางการขนส่ง การจัดการสินค้าคงคลัง และประสิทธิภาพโดยรวมของห่วงโซ่อุปทาน 
  • การใช้ Blockchain เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ เนื่องจากคุณสมบัติ Blockchain คือ เป็นระบบบัญชีแบบแยกส่วน จัดเก็บข้อมูลชุดเดียวไว้หลายๆ จุด ไม่ได้รวมไว้ที่ศูนย์กลาง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ จึงช่วยให้เกิดความโปร่งใส ติดตามการเดินทางของสินค้าตั้งแต่การผลิตได้จนถึงการจัดส่ง และป้องกันการปลอมแปลงได้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไว้วางใจมากขึ้น

สุดท้ายนี้ใครจะอยู่ ใครจะไปในวงการนี้ ก็คงต้องวัดที่ใครสามารถบริการลูกค้าได้ถึงใจสุด ๆ ซึ่งการที่ในตลาดมีคู่แข่งมากมายแบบนี้ ผลดีก็ตกอยู่ผู้บริโภคอย่างเรานั่นเอง

ติดตามพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile