เมื่อววานี้กลุ่มประเทศ “G7” ก็ได้บรรลุข้อตกลงที่จะจัดเก็บภาษีกับบริษัทข้ามชาติ นี่ข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ในการปฏิรูประบบภาษีทั่วโลกเพื่อให้เหมาะสมกับโลกยุคดิจิทัล วันนี้พี่ทุยจะดูกันว่าทำไม G7 ถึงต้องจัดเก็บภาษีนี้ และจะมีผลกับบริษัทไหนบ้าง ไปดูกันเลย
กลุ่ม “G7” (Group of Seven) คืออะไร ?
Group of Seven เป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก ประกอบไปด้วย 7 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้เคยเป็นกลุ่มประเทศ G8 ที่มีรัสเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศสมาชิกแต่จากการผนวกดินแดนไครเมีย ทำให้รัสเซียถูกเพิกถอนจากการเป็นสมาชิก
ทำไมกลุ่ม “G7” จึงต้องมีภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก ?
เมื่อโลกเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยี เขตแดนระหว่างประเทศก็เลือนลางลงโดยเฉพาะโลกการเงินระหว่างประเทศ รัฐบาลหลายประเทศประสบปัญหาการเก็บภาษีบริษัทระดับโลกที่มีแหล่งรายได้จากทั่วโลกโดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น Amazon, Facebook และ Google เป็นต้น
ในขณะเดียวกันบริษัทเหล่านี้ก็เปิดสาขาในหลายประเทศซึ่งมีอัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำกว่าประเทศตนเอง และโยกย้ายผลกำไรไปยังประเทศดังกล่าวโดยไม่คำนึงถึงแหล่งที่มาของรายได้
นี่เป็นเหตุให้เกิดการตั้งภาษีนิติบุคคลทั่วโลกขั้นต่ำขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บริษัทจ่ายภาษีในประเทศที่บริษัทสร้างรายได้ และป้องกันการโยกย้ายผลกำไรไปสู่ประเทศที่มีอัตราภาษีนิติบุคคลในระดับต่ำกว่า
ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ภายใต้สมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้คัดค้านการบังคับใช้ภาษีในลักษณะนี้ในหลายประเทศและตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า แต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และคณะบริหารกลับเดินหน้าในประเด็นดังกล่าวซึ่งได้เสนออัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลกที่ 21% อย่างไรก็ตามหลังผ่านการเจรจาอย่างเข้มข้นจึงมีการตกลงกันได้ที่ 15%
ข้อตกลงนี้จะถูกนำมาใช้อย่างไร ?
ข้อตกลงนี้ประกอบไปด้วย 2 หลักการ ประกอบไปด้วยหลักการแรก (Pillar 1) คือบังคับใช้กับบริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิเกินกว่า 10% โดย 20% ของส่วนที่เกินจะถูกเฉลี่ยและเสียภาษีในประเทศที่บริษัทดำเนินกิจการอยู่
ส่วนอีกหลักการ (Pillar 2) กำหนดว่าอัตราภาษีนิติบุคคลทั่วโลกขั้นต่ำอยู่ที่ 15% หากบริษัทยังเสียภาษีต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำของภาษีนิติบุคคลทั่วโลก รัฐบาลของประเทศที่บริษัทแม่ถือสัญชาติก็สามารถเก็บภาษีนิติบุคคลเพิ่มจนถึงขั้นต่ำของภาษีนิติบุคคลทั่วโลกหรือที่ 15% เพื่อป้องกันการโยกย้ายกำไรไปอยู่ในประเทศที่เสียภาษีอัตราต่ำกว่า
โดยสหราชอาณาจักรเป็นตัวอย่างประเทศที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลงครั้งนี้ ซึ่งรัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นและนำไปใช้ในกิจการสาธารณะเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
ด้าน OECD หรือองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ยอมรับระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจการค้าเสรีและพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรปและโลก เปิดเผยออกมาเมื่อเดือนที่แล้วว่ารัฐบาลของชาติสมาชิก 30 ประเทศ ได้ตกลงร่วมกันเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวคิดการเก็บภาษีขั้นต่ำแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการตกลงถึงอัตราภาษีขั้นต่ำ
มีอะไรบ้างที่เราต้องติดตามหลังจากนี้ ?
การประชุมกลุ่มประเทศ G20 ที่จะเกิดขึ้นในปลายเดือนมิถุนายนเป็นสิ่งที่จะตัดสินว่าข้อตกลงครั้งนี้ของ Group of Seven ได้รับการยอมรับจากประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาขนาดใหญ่หรือไม่ ด้าน OECD ที่แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกต่อประเด็นดังกล่าวแต่คาดว่าจะยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงอย่างเป็นทางการได้อย่างน้อยจนกว่าจะถึงเดือนตุลาคม
ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งต้องการการให้สภาคองเกรสอนุมัตินโยบายปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลในประเทศจาก 21% ไปที่ 28% เพื่อใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล อาจรับอานิสงส์ทางอ้อมจากข้อตกลงครั้งนี้ทำให้นโยบายขึ้นภาษีนิติบุคคลในประเทศผ่านสภาง่ายขี้น
Source: OECD
อย่างไรก็ตามการบังคับใช้ข้อตกลงดังกล่าวในระดับโลกยังมีรายละเอียดอีกหลายประเด็นที่ต้องเจรจาให้แล้วเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นภายในสหภาพยุโรปเองที่มีสมาชิกหลายประเทศเรียกเก็บภาษีนิติบุคคลในอัตราที่ต่างกัน เช่น ประเทศไอร์แลนด์ซึ่งมีอัตราภาษีนิติบุคคลที่ 12.5% ส่วนฝรั่งเศสเรียกเก็บอยู่ที่ 31% ดังนั้นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของประเทศไอร์แลนด์ซึ่งมีแนวโน้มจะเสียประโยชน์จึงออกมาเรียกร้องให้ข้อตกลงคำนึงถึงประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กด้วย เนื่องด้วยขนาดเศรษฐกิจทำให้มีขีดจำกัดในการแข่งขันกับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่
นอกจากนั้นยังต้องมีอีกหลายประเด็นที่ต้องเจรจารวมไปถึงข้อตกลงนี้จะครอบคลุมกองทุนและกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ หรือไม่ เมื่อใดที่ควรจะบังคับใช้อัตราภาษีใหม่และต้องมั่นใจว่าจะสอดคล้องกับการปรับอัตราภาษีของสหรัฐฯ
บริษัทเทคโนโลยีเป็นบริษัทที่ได้ประโญชน์จากเรื่องนี้
บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ติดตามข้อตกลงนี้อย่างใกล้ชิดซึ่งจะช่วยให้การเสียภาษีมีความชัดเจนมากขึ้นต่างออกมาตอบรับการบรรลุข้อตกลงนี้ในเชิงบวก
โฆษกของ Amazon กล่าวว่าบริษัทเชื่อมั่นว่ากระบวนการที่นำโดย OECD จะช่วยให้ระบบภาษีระหว่างประเทศมีเสถียรภาพ ข้อตกลงของ G7 นับเป็นขั้นตอนที่น่ายินดีในการพยายามบรรลุเป้าหมาย
ด้าน Nick Clegg รองประธานฝ่ายกิจการระดับโลกของ Facebook กล่าวใน Twitter ว่าข้อตกลงนี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่ความแน่นนอนของธุรกิจและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบภาษีโลก
ส่วนโฆษกของ Google ออกมากล่าวเช่นกันว่าบริษัทสนับสนุนการทำงานเพื่อปรับปรุงระบบภาษีระหว่างประเทศ บริษัทหวังว่าประเทศต่าง ๆ จะทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างข้อตกลงที่สมดุลและยั่งยืนซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้า
อย่างไรก็ตามข้อตกลงนี้จะเป็นปัจจัยเชิงลบต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่นเดียวกับนโยบายปรับอัตราภาษีของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งนักลงทุนต่างแสดงความกังวลนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2020
พี่ทุยมองว่าผลกระทบต่อหุ้นเทคโนโลยีจะมากน้อยเพียงใด จะขึ้นอยู่กับการตอบรับของตลาดต่อผลการประชุมกลุ่ม G20 ช่วงปลายเดือนมิถุนายน เช่นเดียวกับการเจรจาในที่ประชุม OECD ซึ่งจากข่าวชี้ว่าจะทราบผลอย่างเร็วที่สุดในเดือนตุลาคมนี้ และที่สำคัญต่อบรรยากาศการลงทุนไม่แพ้กันเลย ก็คือการอนุมัติการปรับอัตราภาษีนิติบุคคลในประเทศของสหรัฐฯ