กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 5 เหตุผลที่ควรหักเต็ม 15% เพื่อสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่า

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • ได้เงินฟรีจากนายจ้าง + ลดหย่อนภาษีได้ – นายจ้างสมทบเงินให้เพิ่มได้สูงสุด 15% ของเงินเดือน และเราได้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ถึง 500,000 บาทต่อปี ถือว่าเป็น “โบนัสคู่” ที่คุ้มค่าสุดๆ
  • ออมแบบออโต้ + เลือกความเสี่ยงได้ – เงินถูกหักจากเงินเดือนอัตโนมัติทุกเดือน สร้างวินัยการออมแบบ DCA พร้อมเลือกนโยบายการลงทุนได้ตามอายุและความเสี่ยงที่รับได้
  • สิทธิพิเศษหายาก + การันตีเงินเกษียณ – เป็นสวัสดิการที่ไม่ใช่ทุกบริษัทจะมี ช่วยสร้างเงินก้อนสำหรับเกษียณที่มากกว่าแค่ประกันสังคม ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีเงินใช้ในวัยเกษียณ

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ใครที่บริษัทมี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้ บอกเลยว่าโชคดีมากกก! เพราะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสุดเจ๋งที่การันตีแล้วว่าตอนเราเกษียณจะมีเงินใช้แน่ ๆ ไม่ต้องไปงอแงลูกหลาน หรือนั่งเฝ้าข้าวแกงแจกฟรีที่วัด แต่เอาจริง ๆ หลายคนยังไม่รู้เลยว่าทำไมถึงควรหักเงินเข้ากองทุนนี้ไปถึง 15% (ซึ่งเป็นเรทสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต) วันนี้พี่ทุยเลยมารวบรวมเหตุผลดี ๆ มาให้ฟังกันครบ 5 ข้อเลย!

1. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะมนุษย์เงินเดือนเท่านั้น

นี่คือของหายากระดับ “Limited Edition” เลยล่ะ! เพราะฟรีแลนซ์หรือเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ได้รับสิทธินี้นะ (ยกเว้นเจ้าของธุรกิจที่บริษัทเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งส่วนมากก็มีแต่บริษัทมหาชน) เพราะบริษัทต้องสมัครใจที่จะทำกองทุนนี้ให้พนักงาน ไม่ใช่ทุกบริษัทจะมี !

และด้วยกระบวนการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องมีการจัดการกองทุน การวางระบบในออฟฟิศ การอบรมพนักงานและนายจ้าง กว่าจะได้เข้ากองทุนนี้บอกเลยไม่ใช่ง่าย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทระดับมหาชนที่จะได้เข้ากองทุนนี้

ถ้าบริษัทเราถือว่าดีใจไว้เถอะ เพราะนั่นหมายความว่าเรากำลังได้รับสวัสดิการตัว Rare อยู่นั่นเอง!

2. นายจ้างจ่ายเงินเพิ่มให้เราอีกทาง!

นี่คือจุดเด่นสุดเจ๋ง! กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็น “กองทุนเพื่อการเกษียณ” ที่บริษัททำไว้ให้พนักงานนอกเหนือจากประกันสังคม โดยเงินเข้ากองทุนจะมี 2 ส่วน:

เงินสะสม: ที่เราเลือกหักจากเงินเดือน 2-15%
เงินสมทบ: ที่นายจ้างจ่ายเพิ่มให้อีก! 2-15% จากเงินเดือนเราเช่นกัน แต่ช่วงที่ทำงานปีแรก ๆ บริษัทจะยังส่งเงินสมทบให้ไม่เยอะมาก แต่จะเพิ่มให้เรื่อย ๆ ถ้าเราอยู่นานหลักหลายสิบปี บริษัทก็จะเพิ่มเงินให้สูงสุดที่ 15% คับ

คิดง่าย ๆ เลย นี่มันเหมือนนายจ้างจ่ายเงินให้เราเพิ่มแหละ แต่แค่โอนเงินเข้าไปอยู่ในบัญชีเก็บเงินเพื่อการเกษียณนั่นเอง เป็น “โบนัสแบบทุนสำรอง” ที่เราจะได้รับในอนาคต!

3. ออมก่อนใช้ แบบอัตโนมัติทุกเดือน

ทุกครั้งที่เราได้เงินเดือนมา เราก็ไม่ได้เงินเดือนเต็มเดือน มันก็จะมียอดอยู่ส่วนนึงที่หายไปเป็นค่าประกันสังคม ค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย และค่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ยอดที่หายไปนี้แหละ เรานับว่าเป็นการหักเงินแบบ ‘ออมก่อนใช้’ เท่ากับว่าเงินที่หายไปเนี่ยไม่ได้หายไปไหน แค่แปลงร่างตัวเองไปเป็นเงินเก็บเพื่อการเกษียณเฉย ๆ เอง!

ลักษณะมันก็จะคล้าย ๆ กับการ DCA (Dollar Cost Averaging) ที่เป็นการหักเงินลงทุนแบบต่อเนื่อง พอรวมกับการเติบโตของสินทรัพย์ในพอร์ต และดอกเบี้ยทบต้นด้วยแล้ว บอกเลยว่าเกษียณออกมาแล้ว รวยแน่ ๆ !

ส่วนเงินที่เหลือจากการหักกองทุน เราจะเอาไปปู้ยี้ปู้ยำอะไรก็แล้วแต่เราเลย ไม่ต้องกังวลเรื่องการออม เพราะออมไปแล้วอัตโนมัติ !

4. เลือกระดับความเสี่ยงการลงทุนได้ตามใจ

อีกหนึ่งข้อดีที่เจ๋งมาก แต่คนรู้น้อย! ตัวกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถเลือกระดับความเสี่ยงและนโยบายตามอายุของเราได้

ถ้าเราอายุเยอะแล้ว ไม่อยากลงทุนความเสี่ยงสูงเหมือนตอนเด็ก ๆ ก็แจ้งกับทางบริษัทเลยว่าขอลงกองทุนที่ความเสี่ยงน้อยลงหน่อยได้มั้ย

ยิ่งปัจจุบัน หลาย ๆ กองทุนก็เริ่มมีนโยบายการลงทุนแบบสมดุลตามอายุ (Lifecycle Investment) มาให้เห็นแล้ว ยิ่งอายุมากการลงทุนในตราสารหนี้ก็ยิ่งมาก

ง่าย ๆ คือ:

  • อายุยิ่งน้อย: กองทุนจะไปเน้นลงทุนในหุ้นเยอะ ๆ (รับความเสี่ยงสูงเพื่อผลตอบแทนสูง)
  • อายุยิ่งมาก: สัดส่วนหุ้นก็จะลดลง และเพิ่มการลงทุนตราสารหนี้เยอะ ๆ (เสี่ยงน้อย ปลอดภัย)

หรือถ้าอยากรู้ว่าเรารับควรมีสัดส่วนหุ้นอยู่เท่าไหร่ของพอร์ต ใช้สูตร 100 – อายุ เราจะได้เป็นเปอร์เซ็นต์หุ้นที่เราควรมีติดพอร์ตไว้นั่นเอง

5. ลดหย่อนภาษีได้เพียบ!

สรรพากรเขาใจดีมาก! เงินที่หักเข้ากองทุนนี้ เราสามารถเอามายื่นลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงได้ แต่มีเงื่อนไขที่ว่า สามารถเอาไปยื่นลดหย่อนไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง หรือถ้าเอาไปรวมกับกองทุนอื่น ๆ เช่น RMF ประกันบำนาญ กบข. รวมแล้วลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท

คำนวณง่าย ๆ:

  • เงินเดือน 50,000 บาท
  • หัก 15% = 7,500 บาท/เดือน
  • ต่อปี = 90,000 บาท
  • ลดหย่อนภาษีได้เต็ม 90,000 บาท!

แต่มีข้อควรระวัง! สำหรับคนที่จะลาออกจากที่ทำงาน อย่าลาออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนะ! เพราะจะฟรีภาษีได้ก็ต่อเมื่อเป็นสมาชิกกองทุนมาแล้วอย่างน้อย 5 ปี และต้องถือจนเกษียณอายุขั้นต่ำ 55 ปี ถ้าใครจะลาออกกองทุนแล้วไม่เข้าเงื่อนไขนี้เลย ระวังเสียภาษีย้อนหลังนะครับ!

ข้อมูลสถิติจากสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ระบุว่าในปี 2018 ผู้เกษียณอายุที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส่วนใหญ่กว่า 60% ได้รับเงินน้อยกว่า 1 ล้านบาท และมีเพียง 10% ที่ได้รับเงินมากกว่า 5 ล้านบาท นั่นแสดงว่าการออมแบบจริงจัง แบบเต็มที่ จะทำให้เราอยู่ใน 10% ที่มีเงินเกษียณเยอะ ๆ นั่นเอง !

หรือถ้าใครอ่านแล้วยังสงสัย ไปฟังพี่เคนเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยคับ หักกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเต็ม 15% มีข้อดียังไง

สรุป: ของดีของการหัก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 15% ไม่เอาไม่ได้แล้ว!

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถช่วยเราสร้างวินัยในการออมเงินเพื่อเก็บไว้ใช้ยามเกษียณได้ โดยเฉพาะเมื่อเราได้ประโยชน์ครบ 5 ข้อที่ยกมา ถ้าบริษัทเรามีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ แนะนำให้หักเต็ม 15% เลย เพราะนี่คือ “การลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือน” ที่มีนายจ้างคอยช่วยสมทบเงินให้ ได้ลดหย่อนภาษี และการันตีมีเงินใช้ตอนเกษียณ!

อย่าปล่อยให้โอกาสดี ๆ แบบนี้ผ่านหน้าไปนะครับ เพราะพอเราเปลี่ยนงาน สิทธินี้อาจหายไปตลอดกาลกันเลย !

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อ้างอิงจากกฎหมายและข้อมูลปัจจุบัน อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามนโยบายของภาครัฐ ควรสอบถามรายละเอียดกับ HR หรือฝ่ายบุคคลของบริษัทเพิ่มเติม

หรือติดตามพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook

หรืออ่านบทความอื่น ๆ ของพี่ทุยได้

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile