ทำไมถึง “เชื่อ” ว่า “Bitcoin” จะไป 1 แสนดอลลาร์

ทำไมถึง “เชื่อ” ว่า “Bitcoin” จะไป 1 แสนดอลลาร์

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • Stock to Flow Model เป็นโมเดลที่ทำนายว่าราคาของ Bitcoin จะไปถึง 100,000 ดอลลาร์ ภายในปลายปี 2564 โดยมีแนวคิดจากความขาดแคลนและความหายากของสินทรัพย์
  • Self-Fulfilling Prophecy Theory เป็นทฤษฏีทางสังคมศาสตร์ โดยเป็นทฤษฏีที่อธิบายพฤติกรรมคนในสังคมที่ปรับตัวเพื่อตอบสนองสิ่งที่ตนคาดการณ์จากความคิด หรือ คิดแบบไหน ก็จะส่งผลให้เกิดแบบนั้น
  • ความเชื่อของคนหนึ่ง มักส่งผ่านไปยังหลายคนที่อยู่รอบ ๆ แบบไม่รู้ตัว เมื่อความคิดหนึ่งมีผลต่ออีกหลายความคิด ก็จะทำให้สิ่งที่คิดเห็นตรงกันอาจจะเกิดขึ้นได้จริง

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ถ้าเราศึกษาวิวัฒนาการของ “สื่อกลางแลกเปลี่ยน” มาโดยตลอด จะพบว่าเกิดการพัฒนามาหลายรูปแบบจนมาถึงยุคของ “Cryptocurrency” ที่มี “Bitcoin” เป็นสื่อกลางหลัก จากวงการสีเทาที่คนมองว่า เป็นการใช้เพื่อชำระซื้อสินค้าที่ผิดกฏหมาย สู่ยุคที่ใครหลายคนมองว่า Bitcoin จะสามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ ทั้งยังคาดการณ์ว่า “ราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ในอนาคต ทำไมหลายคนถึงคาดการณ์แบบนั้น พี่ทุยสรุปมาแล้ว ไปฟังกัน 

มาทำความรู้จัก “Stock to Flow Model”  Bitcoin 1 แสนดอลลาร์ ในตำนาน 

Stock to Flow Model (S2F Model) เป็นโมเดลที่คาดการณ์ราคา Bitcoin ที่ “ควรจะเป็นในอนาคต” โดยจากโมเดลแสดงให้เห็นว่าราคา Bitcoin จะไป 100,000 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2564 หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อ หรือ หลายคนอาจจะเห็นด้วยตาม Model ก็ไม่ผิด แล้วแต่วิจารณญาณในการลงทุนของแต่ละคน เพราะเจ้าของ Model หรือ “PlanB” ที่ใครหลายคนรู้จักก็ทำนายราคา Bitcoin ใกล้เคียงมาหลายครั้งแล้วบนทวิตเตอร์ของเขาเอง 

S2F Model มีหลักคิดจาก “ความหายาก” หรือ “ความขาดแคลน” (Scarcity) และต้นทุนของการนำทรัพยากรนั้นมาใช้งาน ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว Supply ที่มีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งระบบที่ผลิตเหรียญออกมายังลดลงทุก ๆ 4 ปี หรือที่เรียกว่า การ Halving จะเป็นจุดที่เพิ่มความหายากให้กับ Bitcoin ในขณะเดียวกันที่ความต้องการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มูลค่าของสิ่งนั้นเพิ่มขึ้นตาม

ส่วนประกอบของ Stock to flow Ratio อัตราส่วนที่บ่งบอกความหายาก

Stock to Flow Ratio (S2F Ratio) เป็นอัตราส่วนที่บอกถึง “ความหายาก” ของสินทรัพย์ที่เราต้องการนำมาคิด โดยการใช้ S2F มาประเมินสินทรัพย์นั้นต้องมีอย่างจำกัด และรู้ได้ว่ามีปริมาณทั้งหมดเท่าไร คงเหลือเท่าไร อัตราการขุดออกมาเป็นเช่นไร เช่น ทอง, Bitcoin และ Ethereum เป็นต้น

ทำไมถึง “เชื่อ” ว่า “Bitcoin” จะไป 1 แสนดอลลาร์

ปัจจุบันปริมาณเหรียญรวมที่ถูกขุดออกมาแล้วของบิทคอยน์อยู่ที่ประมาณ 18.85 ล้านเหรียญ เทียบกับปีที่แล้ว อยู่ที่ประมาณ 18.53 ล้านเหรียญ ฉะนั้นจะมี Flow จากบิทคอยน์ทั้งหมด เท่ากับประมาณ 0.32 ล้าน/ปี (ต.ค. 2563 – ต.ค. 2564)

S2F Ratio (Bitcoin) = 18.85 ÷ 0.32 = 58 

นั่นหมายความว่า จะต้องใช้เวลาถึง 58 ปี หากต้องการจะขุดบิทคอยน์ให้ได้จำนวน 18.85 ล้านเหรียญ หากสมมติฐานว่าปริมาณการขุดของบิทคอยน์คงที่ที่ 0.32 ล้านเหรียญต่อปี

เมื่อเทียบกับทองแล้ว S2F Ratio (Gold) = 201,296 ÷ 3,400 = 59.20

ดังนั้น จะต้องใช้เวลาถึง 59.20 ปี หากต้องการจะขุดทองให้ได้จำนวน 201,296 ตัน หากสมมติฐานว่าปริมาณการขุดทองคงที่ที่ 3,400 ตันต่อปี

จากการเปรียบเทียบ S2F Ratio ของทองและบิทคอยน์ จะเห็นว่า ความหายากของทองยังคงมากกว่าบิทคอยน์เล็กน้อย แต่ถ้า Bitcoin เกิดการ “Halving” จะส่งผลให้การเกิดใหม่ของบิทคอยน์นั้น “ลดลงครึ่งหนึ่ง” ซึ่งจะไปกระทบกับ “ค่า Flow ให้น้อยลง” ดังนั้นค่าของ S2F Ratio ของบิทคอยน์จะเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าในปี 2567 จะทำให้บิทคอยน์หายากกว่าทองคำเพราะจากสถิติ S2F Ratio ของทองจะมีค่าอยู่ช่วง 50 – 60 นั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมราคาบิทคอยน์ถึงเปลี่ยนแปลงอย่างมากในทุก ๆ การ Halving

ความหมายของกราฟ Stock to Flow Model

ทำไมถึง “เชื่อ” ว่า “Bitcoin” จะไป 1 แสนดอลลาร์

เส้นกราฟที่เป็นสีฟ้าหรือเส้นตรงกลางของกราฟบ่งบอกว่าใน “วันนั้น ๆ ราคาของบิทคอยน์ควรจะอยู่ที่เท่าไร” วงกลมที่มีหลากหลายสีรวมเป็นกราฟ คือ “ราคาของบิทคอยน์ในแต่ละวัน”

จะเห็นว่าช่วงส่วนใหญ่ที่ราคาบิทคอยน์ในแต่ละวัน เข้าใกล้ราคาบิทคอยน์ในโมเดล นั่นคือช่วงที่ราคาของบิทคอยน์ในแต่ละวันเป็นสีน้ำเงิน กล่าวคือ เป็นช่วงที่ใกล้ถึงการ Halving ครั้งต่อไปนั่นเอง 

ในปัจจุบันที่เราอยู่ในช่วงโซนสีเหลือง – ส้ม ในอดีตช่วงโซนสีเหลือง – ส้ม เป็นช่วงที่บิทคอยน์จะปรับตัวขึ้นไป “สูงสุด” ของแต่ละรอบ ดังนั้น หลายคนที่ “เชื่อ” ในโมเดลนี้ ก็พูดว่าการซื้อบิทคอยน์ที่ราคา ณ ปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 65,830 ดอลลาร์ (15 พ.ย. 2564) ก็ยังสามารถทำกำไรได้ในปลายปี 2564 ซึ่งตามโมเดลราคาที่คาดการณ์ไว้คือ ประมาณ 110,000 ดอลลาร์ และนี่คือที่มาของราคาบิทคอยน์ที่หลาย ๆ คนพูดว่าปลายปีนี้จะไป 100,000 ดอลลาร์ นั่นเอง

Self-Fulfilling Prophecy Theory คืออะไร ?

หลายคนอาจจะสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่า “ความเชื่อ” ในที่นี้คืออะไร ? ขออธิบายก่อนเลยว่า “Self-Fulfilling Prophecy Theory” เป็นทฤษฏีทาง “สังคมศาสตร์” ที่อธิบายพฤติกรรมการปรับตัวของนุษย์ในสังคมเพื่อ “ตอบสนอง” สิ่งที่ตน “คาดการณ์” จากความคิด ทัศนคติ และความเชื่อ ซึ่งการปรับตัวนั้นทำให้สิ่งเราคาดการณ์นั้นเกิดขึ้นมาจริง ๆ หรือ “คิดแบบไหน ได้แบบนั้น” สามารถใช้ได้ทั้งทั้งการคิดในแง่ดีและไม่ดีนั่นเอง 

หากมนุษย์ในสังคมปฏิบัติตามสิ่งที่เชื่อ หรือเห็นพ้องต้องกันว่าจะเกิดขึ้น โดยไม่สนใจว่าความจริง หรือ ปัจจัยพื้นฐานเป็นเช่นไร เนื่องจากใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ก็จะเกิดผลลัพธ์ตามความคิดของสังคมนั้น 

อีกทั้งมนุษย์ยังเป็นสัตว์สังคม มีทฤษฎีอธิบายว่า ความคิดของมนุษย์มีผลจากการมีปฏิสัมพันธ์กัน (Interpersonal Expectation Effect) กล่าวคือ “ความคิดมนุษย์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่บุคคลเดียว” แต่มีการส่งผ่านความคิดไปยังบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 

ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์รอบตัว โดยที่บุคคลส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเป็นเหตุมาจากการกระทำเหล่านี้ โดยส่วนมากพฤติกรรมเหล่านี้จะเห็นได้ชัดในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า อาการ “แพนิค” (Panic Attack) นั่นเอง 

ถ้าเรา “ไม่เชื่อ” …Bitcoin ก็ไปไม่ถึง 1 แสนดอลลาร์

พี่ทุยจึงขอหยิบยกทฤษฏีทางสังคมศาสตร์มาอธิบาย ปรากฏการณ์ที่ “อาจจะเกิดขึ้น” ปลายปี 2564 นั่นเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจะเห็นได้หลาย ๆ ครั้งจากที่ Elon Musk เพียงทวีตรูปหรือข้อความ คนก็เอาไปแปลความหมายให้เกี่ยวข้องกับเหรียญ 

ทำให้เหรียญที่ถูกกล่าวถึงราคาพุ่งสูงขึ้นกว่าปกติ ส่งผลให้นักลงทุนหลายคนพร้อมใจซื้อตาม ๆ กันกัน โดยพฤติกรรมนี้เกิดจากอาการ Fear of Missing Out (FOMO) เกิดความกลัวที่จะพลาดโอกาสทำกำไร เพราะคิดว่าสินทรัพย์นั้นกำลังขึ้น จึงเข้าไปลงทุน แม้ว่าเหรียญนั้นอาจจะไม่มีพื้นฐานที่ดีเลยก็ตาม เช่น Dogecoin ที่มี Supply ไม่จำกัด ซึ่งตรงข้ามกับบิทคอยน์อย่างสิ้นเชิง เป็นต้น 

จากที่พี่ทุยเล่ามาทั้งหมด ก็เหมือนกับทฤษฏีที่อธิบายว่า เมื่อคนหนึ่งเริ่มเชื่อ และอีกหลายคนเริ่มเชื่อตามจนขยายเป็นวงกว้าง และหากนำไปรวมกับที่บอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม มี Social Media ที่รวดเร็วในยุคไร้พรมแดน รวมไปถึงบุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อสังคมมาก ๆ เมื่อออกมาบอกว่า “เชื่อ” ในสิ่งไหน ก็จะดึงดูดกลุ่มคนที่เห็นด้วย เชื่อในสิ่งเดียวกัน เกิดเป็นแนวความคิดคล้าย ๆ กัน 

ก็จะทำให้เกิดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาซื้อบิทคอยน์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ “แรงผลักของความเชื่อ” อารมณ์ FOMO ของนักลงทุนและนักเก็งกำไร ที่กลัวตนเองนั้นไม่ได้รับผลกำไรที่เพิ่มขึ้นของตลาด เพราะ สินทรัพย์กำลังได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น ทั้งนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ ต่างทยอยศึกษา และมองหาผลกำไรต่าง ๆ จะเห็นได้จากจำนวนเหล่าวาฬที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง ต.ค. 2564 รวมไปถึงการจัดตั้งกองทุน ETF ที่เข้าไปลงทุนในบิทคอยน์ ซึ่งปัจจจัยเหล่านี้เอง จะเป็นตัวดึงราคาบิทคอยน์ให้ขึ้นไปแตะตามที่ S2F Model ได้คาดการณ์ไว้จริง ๆ 

ซึ่งผลลัพธ์ต่าง ๆ จากปัจจัยเหล่านี้ สะท้อนออกมาเป็นพฤติกรรมทางสังคมที่เห็นตรงกัน พี่ทุยจึงเกิดความเห็นหนึ่งว่านี่อาจจะเป็นอีกทฤษฏีที่จะอธิบายพฤติกรรมของสังคมที่กำลังเชื่อในบิทคอยน์ เพื่อเป็นความหวังเล็ก ๆ ในการพาบิทคอยน์ขึ้นไปถึงเป้าหมายตามที่ราคาในโมเดลได้ทำนายไว้ 

ข้อควรระวังในการ “เชื่อ” Stock to Flow Model 

S2F Model ที่ยกมานั้น ก็ ”ยังไม่มีหลักฐาน” หรือ งานวิจัยออกมาว่าถูกต้องทั้งหมด การศึกษา Model หรือรู้ว่าการทำงานของ Model เป็นยังไงก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถนำ Model ไปใช้เป็นเครื่องมือร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น กราฟราคา และอินดิเคเตอร์ เพื่อพิจารณา “เลือกลงทุน” ซึ่งต้องดูจากค่าสถิติต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นจากโมเดลก่อนด้วยว่า Win-rate เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน

พี่ทุยมองว่าเราต้องปรับตัว กระจายความเสี่ยงในการลงทุน และวิเคราะห์การลงทุนตามพื้นฐานของความเป็นจริง บางครั้งต้องวางถุงกาวลงก่อน เพื่อให้เราสามารถดึงกำไรที่ดีที่สุดมาอยู่ในมือเราได้นั่นเอง

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile