Inverted Yield Curve คืออะไร ? - ทำไมถึงเป็นสัญญาณเตือน เศรษฐกิจถดถอย

Inverted Yield Curve คืออะไร ? – ทำไมถึงเป็นสัญญาณเตือน เศรษฐกิจถดถอย

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • หนึ่งในสัญญานเตือนเศรษฐกิจถดถอยที่พี่ทุยจะพูดถึงในบทความนี้ นั่นก็คือ Inverted Yield Curve ถึงชื่อจะฟังดูยาก แต่พี่ทุยจะมาเล่าให้มันง่าย
  • Yield Curve คือ กราฟแสดงผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลแต่ละช่วงอายุเปรียบเทียบกัน โดยอายุที่สั้นมักจะมีผลตอบแทนที่ต่ำกว่าในระยะยาว
  • Inverted Yield Curve คือ ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลเกิดพลิกกลับจากสถานการณ์ปกติ โดยอายุที่สั้นมีผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนระยะยาว
  • หลาย ๆ ครั้งที่เกิด Inverted Yield Curve มักเกิดวิกฤตหรือเศรษฐกิจถดถอยตามมา
  • Inverted Yield Curve มักเกิดจากความกังวลว่าอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรในอนาคตจะน้อยลงกว่าปัจจุบัน จึงเกิดการล็อคกำไรในอนาคตและมีแรงซื้อพันธบัตรอายุยาวมากขึ้น

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” คงเป็นสิ่งที่นักลงทุนหลาย ๆ คนกังวล บทความนี้พี่ทุยจะมาอธิบายถึงหนึ่งในสัญญาณเตือนของเศรษฐกิจถดถอย “Inverted Yield Curve” หรือการที่ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลกลับหัวลง โดยพันธบัตรที่มีผลตอบแทนอายุสั้นจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรผลตอบแทนระยะยาว มักเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนหลายคนจับตามอง

มาเริ่มกันที่ Yield Curve คืออะไร ?

Yield Curve คือ การเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนแต่ละช่วงอายุของพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งโดยปกติแล้วพันธบัตรที่มีอายุมากกว่าจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าระยะสั้น ด้วยเหตุผลเรื่องเวลา ความเสี่ยง และสภาพคล่องที่มากกว่า นักลงทุนจึงควรที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าในแบบสั้น และเมื่อเราเอาผลตอบแทนมาพล็อตเป็นกราฟก็จะมีลักษณะชันขึ้นจากซ้ายไปขวา เป็นลักษณะปกติของผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลหรือเรียกว่า “Yield Curve” โดยปกตินั้นนักลงทุนมักจะให้ความสนใจพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาอายุ 2 ปี เทียบกับ 10 ปี เป็นหลัก

Inverted Yield Curve คืออะไร บ่งบอก “เศรษฐกิจถดถอย” ได้อย่างไร ?

Inverted Yield Curve เป็น Yield Curve แบบพลิกคว่ำหรือผลตอบแทนระยะสั้นนั้นสูงกว่าผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งผิดแปลกไปจากสถานการณ์ปกติที่ผลตอบแทนระยะยาวควรจะได้มากกว่าผลตอบแทนระยะสั้น จากที่อธิบายมาใน Yield Curve ซึ่งเหตุการณ์นี้มักจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และมักเป็นสัญญาณเตือนของเศรษฐกิจว่าอาจจะเข้าสู่สภาวะถดถอย

แล้ว Inverted Yield Curve เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

Inverted Yield Curve เกิดจากความกังวลว่าสถานการณ์ดอกเบี้ยในอนาคตจะลดลง ในสถานการณ์ปกตินักลงทุนจะให้ความสำคัญกับความเสี่ยงและสภาพคล่อง การที่พันธบัตรมีอายุยาวกว่าก็ควรจะมีผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติ นักลงทุนคาดเดาว่าเหตุการณ์ในอนาคตอาจทำให้ “ดอกเบี้ย” จากพันธบัตรมีโอกาสที่จะต่ำลง นักลงทุนหลาย ๆ คนก็อยากจะล็อคผลตอบแทนในเวลานี้ที่น่าจะสูงกว่าผลตอบแทนในอนาคต ก็เลือกที่จะซื้อพันธบัตรระยะยาวมากขึ้น

และเนื่องจากราคาของพันธบัตรรัฐบาลแปรผกผันกับผลตอบแทนหรือถ้าราคาของพันธบัตรรัฐบาลสูงขึ้น ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลจะลดลง ทำให้เมื่อเกิดแรงซื้อของพันธบัตรระยะยาวมากขึ้นราคาตัวพันธบัตรระยะยาวเองก็สูงขึ้นทำให้ผลตอบแทนระยะยาวลดลง

ในขณะเดียวกัน คนก็ให้ความสนใจหรืออาจจะขายพันธบัตรระยะสั้นเพื่อหนีไปล็อคกำไรในอนาคตจนพันธบัตรระยะสั้นราคาลดลง ผลตอบแทนปรับสูงขึ้นจนสูงกว่าผลตอบแทนจากพันธบัตรระยะยาวจนเกิดเป็น Inverted Yield Curve นั่นเอง

สถานการณ์ Yield Curve ในปัจจุบัน ส่งสัญญาณ “เศรษฐกิจถดถอย” หรือเปล่า

ในช่วงต้นปี 2022 ที่ผ่านมาสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกต่างโดนรุมเร้าด้วยปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ระบาดมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2019 ที่เกือบจะเป็น Inverted Yield Curve

รวมไปถึงสถานการณ์เงินเฟ้อที่เกิดจากการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพื่อกลับมาฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศหลังโรคระบาด ปัญหาห่วงโซ่อุปทานชะงักงัน และปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนต่างเป็นปัจจัยที่กดดันให้เกิดเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตามธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED เอง ก็เล็งเห็นปัญหานี้ จึงมีแผนที่จะเตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และสกัดปัญหาเงินเฟ้อที่อาจจะลุกลามบานปลายได้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นมีแนวโน้มกลับตัวเป็นขาขึ้น นั่นหมายความว่าดอกเบี้ยในระยะสั้น กำลังเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ดอกเบี้ยในระยะยาว นั่นจึงเป็นเหตุให้นักลงทุนพากันเทขายพันธบัตรในระยะยาว 

และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ FED ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี และ 10 ปี ห่างกันไม่มากนัก และมีแนวโน้มที่ห่างกันน้อยลง ๆ เรื่อย ๆ การที่นักลงทุนเริ่มเทขายพันธบัตรรัฐบาลเช่นนี้ คือนักลงทุนเริ่มมองว่าเศรษฐกิจอาจจะเกิดการชะลอตัวได้ และดอกเบี้ยในอนาคต ก็มีโอกาสที่จะกำลังขยับเข้ามาใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันนั่นเอง 

จากรูปเป็นผลต่างของพันธบัตรรัฐบาล 2 ปี และ 10 ปี ซึ่งหากเลขต่ำกว่า 0 หรือติดลบ นั่นหมายถึง ช่วงที่ผลตอบแทนระยะยาวต่ำกว่าผลตอบแทนระยะสั้น หรือเกิด Inverted Yield Curve ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบัน เดือน มี.ค. 2022 ความต่างของผลตอบแทนลงมาแคบจนใกล้ 0 มากแล้ว หากยังมีแนวโน้มแบบนี้ต่ออาจทำให้ผลตอบแทนระยะสั้นขึ้นไปสูงกว่าผลตอบแทนระยะยาวได้

Inverted Yield Curve คืออะไร ? - ทำไมถึงเป็นสัญญาณเตือน เศรษฐกิจถดถอย

ถ้าลองเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯก็จะพบว่าหลาย ๆ ครั้งที่เกิด Inverted Yield Curve มักจะเกิดการปรับฐานในตลาดหุ้นเช่นกัน

ดังนั้นเมื่อตอนนี้สัญญาณบ่งบอก “เศรษฐกิจถดถอย” ยังไม่เกิด ก็ยังไม่ควรตื่นตระหนก แต่ควรเตรียมแผนรับมือเอาไว้ให้พร้อม เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามเมื่อเกิด Inverted Yield Curve ก็ไม่ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโดยทันที ยังพอมีเวลาให้เตรียมตัวลดความเสี่ยงอยู่ อย่างการลดพอร์ตลงทุนซักนิดหน่อย หรือแบ่งกำไรออกมากลับมาถือเงินสดเพิ่มขึ้นก็เป็นการช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง เพราะในวิกฤตนั้นก็มีโอกาส แต่ถ้าไม่มีเงินสดก็ไม่สามารถแก้วิกฤตให้เป็นโอกาสได้เช่นกัน

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile