มีข่าวออกมาล่าสุดว่า กรมสรรพากรเตรียม เก็บภาษีรายได้จากต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้น ซึ่งก็ทำเอาเหล่านักลงทุนที่ขนเงินไปลงทุนในต่างประเทศแบบเต็มสตรีม ว้าวุ่นใจไม่น้อย เรื่องราวมันเป็นยังไง จริง ๆ แล้วต้องกังวลแค่ไหน ใครกันนะที่ได้รับผลกระทบ และถ้าไม่อยากโดนเก็บภาษีต้องทำยังไง วันนี้พี่ทุยจะเล่าให้ฟัง
สรุปเกณฑ์ใหม่ เก็บภาษีรายได้จากต่างประเทศ 2567
พี่ทุยข้อมูลสรุปสำคัญตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.161/2566 มาให้
คำสั่งนี้เกี่ยวกับอะไร
- การเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
- เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับเจ้าพนักงานสรรพากร
บังคับใช้อย่างไร
เหตุผลที่กรมสรรพากรวางแนวปฏิบัติใหม่
ต้องการให้ผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในไทยให้ชัดเจน เพื่อการจัดเก็บภาษีเป็นธรรมมากขึ้น
คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวปฏิบัติ
- ถ้าผู้มีเงินได้ถูกเก็บภาษีในประเทศแหล่งเงินได้ไปแล้ว และประเทศนั้นมีการทำอนุสัญญาภาษีซ้อนกับไทย สามารถนำภาษีที่ถูกเก็บไป มาใช้เป็นเครดิตภาษีได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในอนุสัญญาภาษีซ้อน
(อนุสัญญาภาษีซ้อน คือ ประเทศแหล่งรายได้ กับประเทศที่ส่งกลับรายได้ มีการทำสัญญาตกลงกันไว้ ว่าใครจะเก็บภาษี เพื่อไม่ให้มีการเก็บภาษีซ้ำซ้อนในเงินได้ตัวเดียวกัน โดยเอาภาษีที่เสียไปแล้วกับประเทศต้นทาง มาเป็นเครดิตภาษี เพื่อลดภาระภาษีส่วนนี้ในไทยไป)
ก่อนหน้านี้บังคับใช้อย่างไร
พี่ทุยต้องบอกว่า สิ่งที่แตกต่างกันของแนวปฏิบัติก็คือ ก่อนหน้านี้ เงินได้จากต่างประเทศจะถูกนำมาคำนวณภาษี ก็ต่อเมื่อ ผู้ที่อยู่ในไทยเกิน 180 วัน มีเงินได้จากต่างประเทศเกิดในปีนั้น และนำเงินได้กลับเข้ามาในไทยในปีภาษีเดียวกันนั้นเลย
แปลว่า ถ้าปีที่ผ่านมา อยู่ในไทยเกิน 180 วัน มีเงินได้จากต่างประเทศ แต่ยังไม่นำกลับเข้ามาในไทยตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ก็เท่ากับไม่ถูกเก็บภาษี ซึ่งก็ทำให้นักลงทุนยึดหลักการนี้มาตลอด เพื่อไม่ให้ถูกเก็บภาษีนั่นเอง
ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจาก เก็บภาษีรายได้จากต่างประเทศ ด้วยแนวปฏิบัติใหม่
ผู้มีเงินได้จากต่างประเทศ + อยู่ไทยเกิน 180 วัน
- ทำงานในต่างประเทศ
- ไปทำธุรกิจในต่างประเทศ
- มีรายได้จากทรัพย์สินในต่างประเทศ เช่น ไปลงทุนโดยตรงในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งมีผู้ดูแล (Custodian) อยู่ในต่างประเทศ (ส่วนใหญ่คือกลุ่ม Private Banking)
ใครบ้างที่ไม่ได้รับผลกระทบ
- ผู้ลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ ที่มีบริษัทจัดการกองทุนรวมที่จดทะเบียนในไทยเป็นผู้ออก
- ลงทุนผ่าน DR หรือ Depositary Receipt ซึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่จดทะเบียนให้ซื้อขาย เหมือนหุ้น โดยผู้ออก DR เป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. จะเป็นผู้ที่ไปซื้อหุ้นต่างประเทศมา แล้วเอามาเสนอขายให้ผู้ลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาทอีกทอด
- มีเงินได้จากต่างประเทศ อยู่ไทยเกิน 180 วัน แต่เสียภาษีในประเทศที่มีเงินได้ไปแล้ว ซึ่งอัตราภาษีสูงกว่าไทย และมีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับไทย นำภาษีที่เสียมาเป็นเครดิตภาษีได้
จะเห็นได้ว่า ถ้าลงทุนในหน่วยลงทุนหรือหลักทรัพย์ที่ออกอยู่ในไทย แม้ว่าหน่วยลงทุนหรือหลักทรัพย์นั้นจะมีการไปลงทุนในต่างประเทศ ก็จะไม่เข้าข่าย การมีรายได้จากทรัพย์สินในต่างประเทศ
ใครได้ประโยชน์จากแนวปฏิบัตินี้
- กรมสรรพากรมีโอกาสเก็บภาษีได้มากขึ้น
- การเก็บภาษียุติธรรมกับคนที่มีรายได้ในประเทศที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่แล้ว แต่ไม่มีรายได้ในต่างประเทศ
- บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม เพราะมีโอกาสขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศได้มากขึ้น
- การซื้อขาย DR มีแนวโน้มคึกคักมากขึ้น
- ตลาดหุ้นไทย เพราะคนอาจจะนำเงินกลับมาลงทุนในประเทศมากขึ้น
ลงทุนทางอ้อมกองทุนและ DR ทางออกของนักลงทุนต่างประเทศที่ไม่อยากเสียภาษี
สำหรับประเด็นนี้สำหรับใครที่เป็น “นักลงทุน” ในไทยอยู่ แล้วอยากไปลงทุนในต่างประเทศโดยไม่ต้องห่วงเรื่องเสียภาษีตามแนวปฏิบัตินี้ให้วุ่นวาย ก็ควรเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ หรือลงทุนผ่าน DR แทน
ส่วนผู้ลงทุนเดิมที่ไปลงทุนตรงในหลักทรัพย์ต่างประเทศก่อนปี 2566 มีเงินรอนำกลับเข้าประเทศอยู่แล้ว หากนำกลับเข้ามาก่อนสิ้นปี 2566 ก็ยังไม่ถูกเรียกเก็บภาษีตามกฎหมายนี้ เพราะกฎหมายเริ่มใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567
แต่ในกรณีที่ลงทุนอยู่ในปี 2566 ถ้านำกลับมาภายในปี 2566 เลย ก็จะเสียภาษีตามหลักแนวปฏิบัติเดิม ที่อยู่ไทยเกิน 180 วัน มีรายได้ต่างประเทศในปีภาษีนั้นและนำกลับเข้าไทยในปีภาษีนั้น ยกเว้นว่า ปีนี้นับรวมทั้งปีแล้ว อยู่ไทยไม่ถึง 180 วัน ถ้านำกลับเข้ามาในไทยปีนี้ ก็จะไม่โดนเก็บภาษีเช่นกัน
ในส่วนของคนที่ตั้งใจจะไปลงทุนในต่างประเทศโดยตรง หรือมีรายได้จากงาน จากกิจการในต่างประเทศตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ถ้าไม่อยากเสียภาษี ก็มีทางเลือกคือ
- นำเงินกลับเข้ามาในไทย แต่อยู่ในเมืองไทยอย่าเกิน 180 วัน เพื่อไม่ให้เข้าเกณฑ์เสียภาษี
- อยู่เมืองไทยเกิน 180 วันปกติ แต่ไม่นำเงินลงทุนในต่างประเทศกลับเข้ามาในไทยเลย อาจจะเก็บไว้รอใช้จ่ายตอนไปอยู่ต่างประเทศ หรือเอาเงินไว้ต่างประเทศตลอดไป เป็นต้น
ถ้าดูจากคำแนะนำนี้แล้ว พี่ทุยก็ต้องบอกว่า ถ้าคนมีเงินจำนวนมากลงทุนต่างประเทศเอง หลายคนก็มีกำลังทรัพย์ถึงขั้นที่จะไปมีที่อยู่อาศัยในต่างประเทศด้วยอยู่แล้ว
เอาจริง ๆ กรมสรรพากร ก็ยากที่จะตามเก็บภาษีจากคนเหล่านี้อยู่ดี เรื่องที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์เรื่องการเก็บรายได้ได้มากขึ้น ก็อาจจะไม่ได้อย่างที่ใจคิด ตราบใดที่พวกเขา ไม่นำเงินกลับเข้าไทย แต่เลือกที่จะลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ ในต่างประเทศ และเก็บไว้ใช้จ่ายที่นั่น
ขณะเดียวกันถ้ามองในมุมความเป็นธรรม ก็อาจจะไม่เป็นธรรมกับนักลงทุนรายย่อยเท่าไหร่นัก เพราะเหมือนไปจำกัดโอกาสการลงทุนในต่างประเทศของคนกลุ่มนี้ ซึ่งถ้าไปลงทุนในต่างประเทศแล้วต้องนำกลับมาเสียภาษีในไทย หักลบแล้วก็อาจจะไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ถ้าไม่มีเงื่อนไขปลีกย่อยในเรื่องอัตราภาษีที่เป็นธรรม
ทั้งนี้ กรมสรรพากร เผยแพร่ข่าวระบุว่า จะร่วมหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศต่อไป
ฉะนั้น พี่ทุยมองว่า เรื่องของแนวปฏิบัติที่ออกมา คงไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะปัจจุบันยังไม่ได้มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่า จะนับเงินได้จากต่างประเทศอย่างไร หลายคนไปลงทุนต่างประเทศเป็น 10 ปีแล้ว อาจจะไม่ได้จัดทำตัวเลขกำไรขาดทุนที่ผ่านมาเอาไว้ ถ้านำกลับมาแล้วจะเสียภาษีอย่างไร
ดังนั้นยังต้องติดตามเรื่องนี้กันอีกยาว ซึ่งก็ไม่แน่ว่า นี่อาจจะเป็นแค่การโยนหินถามทาง เหมือนไอเดียบรรเจิดหลาย ๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ปรากฎว่า ไม่ได้ใช้จริง
อ่านเพิ่ม