หลายคนคงได้ยินข่าวที่กระทรวงการคลังมีแนวทางเก็บภาษีจากการทำธุรกรรมการเงิน หรือ Financial Transaction Tax ในอัตรา 0.1% ของยอดขาย จากการขายหุ้น โดยเก็บเป็นรายเดือน ไม่แยกว่าเป็นรายใหญ่หรือรายเล็ก เก็บเท่ากัน หลังจากยกเว้นการเก็บ ภาษีหุ้น มานานกว่า 30 ปี หรือตั้งแต่ปี 1991 และคาดว่าหลังจากจัดเก็บภาษีตัวนี้จะทำให้มีรายได้ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
ซึ่งล่าสุด 29 พ.ย. 2565 ครม. ก็ไฟเขียว ให้เก็บภาษีขายหุ้น โดยปีแรกเริ่มเก็บอัตรา 0.055% ซึ่งอยู่ระหว่างรอกฎหมายบังคับใช้
วันนี้พี่ทุยก็เลยจะชวนมาศึกษาเรื่องราวของ Financial Transaction Tax หรือ FTT กันหน่อย
ภาษีหุ้น หรือ Financial Transaction Tax คืออะไร
ก่อนอื่นพี่ทุยขออธิบายเกี่ยวกับ Financial Transaction Tax หรือ FTT ให้กว้างขึ้นอีกนิด โดยคำนิยามแบบกว้าง ๆ ของภาษีตัวนี้ ก็คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากการทำธุรกรรมการเงิน ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียกเก็บภาษีจากธุรกรรมบางอย่างเป็นการเฉพาะ เช่น การซื้อขายหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ ตราสารอนุพันธ์ เป็นต้น
พี่ทุยขอยกกรณีศึกษาในยุโรปมาแชร์ โดย Copenhagen Economics มีการจัดทำรายงานเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี Financial Transaction Tax ในยุโรปเอาไว้ สรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้
ไอเดียการเก็บ Financial Transaction Tax เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1930 ด้วยเป้าหมาย 2 ประการ คือ
- เพิ่มรายได้ภาษีให้รัฐบาล
- ยับยั้งไม่ให้เกิดการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินมากเกินไป เพื่อลดความผันผวนของตลาด และป้องกันฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์
ไอเดียนี้ถูกหยิบมาพูดถึงอย่างหนาหูอีกครั้งในยุโรป ช่วงปี 2013 ที่เกิดวิกฤติการเงิน ซึ่งหลังจากนั้นบางประเทศในยุโรปก็มีการเรียกเก็บภาษี FTT ในระดับชาติ แต่ก็ไม่ใช่ทุกประเทศในยุโรปที่จัดเก็บภาษีนี้
Timeline การจัดเก็บภาษี FTT ในยุโรป
ในรายงานนี้มีการศึกษาผลกระทบในเชิงพฤติกรรมด้วยว่า ถ้าถูกเก็บภาษี FTT แล้ว จะเป็นยังไง ซึ่งก็พบผลที่เกิดขึ้น 3 อย่าง
ผลศึกษาพฤติกรรมของนักลงทุนเมื่อถูกเก็บภาษี FTT
1. การซื้อขายที่ได้ส่วนต่างน้อยมาก รวมถึงการซื้อขายแบบถี่ ๆ จะหายไป
2. นักลงทุนที่ร่วมอยู่ในตลาดเริ่มหันไปซื้อขายในต่างประเทศมากขึ้น
3. มีการซื้อขายน้อยลง
ผลด้านเสถียรภาพตลาดเงิน
- ป้องกันภาวะฟองสบู่แตกในราคาสินทรัพย์ ซึ่งเป็นต้นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจได้
- ลดความผันผวนของตลาดลงได้ ทำให้ตลาดการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ทำให้บริษัทคำนึงถึงความเสี่ยงในการนำเงินไปลงทุนมากขึ้น ซึ่งก็จะนำไปสู่การเติบโตของผลผลิตที่ดีในอนาคต
พี่ทุยจะบอกว่าจริง ๆ แล้ว ถ้ามีการเก็บภาษี FTT กับการซื้อขายหุ้นก็ไม่ได้กระทบแค่นักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายหุ้นโดยตรงเท่านั้น แต่มันจะส่งผลต่อไปถึงนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมด้วย
เพราะการเก็บภาษี FTT จะทำให้ต้นทุนการซื้อขายสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็แปลว่า เวลาที่กองทุนสักกองหนึ่งลงทุนไปแล้ว แล้วมีการซื้อขายหุ้นในพอร์ต หรือตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ที่กฎหมายประเทศนั้นมีการเรียกเก็บภาษีจากการทำธุรกรรมการเงินประเภทนั้น ภาษีตัวนี้ก็จะไปทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงตาม
ยิ่งถ้าประเทศไหน เก็บทั้งภาษีจากการขายหุ้น ขายตราสารหนี้ แล้วยังเก็บภาษีจากการขายกองทุนด้วย ก็ยิ่งเหมือนนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุน ถูกเก็บภาษีซ้ำซ้อน (ที่มา : https://www.ici.org/ftt)
การเก็บ ภาษีหุ้น ในไทย
พี่ทุยขอชวนทุกคนกลับมาดูเมืองไทยกันบ้างว่า ปัจจุบัน เราเก็บภาษีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น
จากข้อมูลที่เผยแพร่โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก็จะพบว่า มีการแบ่งไว้ดังนี้
โดยรวมแล้วตอนนี้ถ้าลงทุนในหุ้นไทย นักลงทุนไทยที่เป็นบุคคลธรรมดาก็จะโดนเรียกเก็บแค่ภาษีจากเงินปันผลเท่านั้น ส่วนภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์นั้นยังไม่มีการเรียกเก็บ ขณะที่ Financial Transaction Tax ที่กระทรวงการคลังของไทยกำลังเสนอเข้า ครม. เพื่อเรียกเก็บนั้น นักลงทุนอย่างเราก็ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่า มันจะสำเร็จรึเปล่า
ถ้าสำเร็จก็แปลว่า ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยว่า ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นที่จะได้รับ ยังไงก็จะต้องลดลงแน่นอน ดังนั้นถ้าคิดจะเข้าไปซื้อขายบ่อย ๆ เพื่อเก็งกำไร ก็คงต้องคิดให้ดี คิดให้หนักมากขึ้น
แต่พี่ทุยก็คิดว่า เวลานี้หลายคนคงนั่งภาวนาแล้วล่ะว่า ให้ ครม. ปัดตกการเรียกเก็บภาษีตัวนี้ไป
อ่านเพิ่ม