เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2022 ฟิลิปปินส์ได้มีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผลก็ได้ออกมาแล้วว่า Ferdinand Marcos Jr. ชนะไปด้วยคะแนนกว่า 30 ล้าน หรือคิดเป็น 95% ของคะแนนเสียงทั้งหมด ซึ่งเขาเป็นลูกชายของ Ferdinand Marcos และ Imelda Marcos อดีตประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ และเผด็จการผู้อยู่ในอำนาจนานกว่า 21 ปี การกลับมาสู่เวทีการเมืองของตระกูลมากอสเป็นสัญญาณเตือนถึงอะไรหรือไม่
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ภาพรองเท้าหลายพันคู่ของ อิเมลดา มาร์กอส สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของฟิลิปปินส์ยังเป็นที่ตราตรึงในสายตาชาวฟิลิปปินส์ เงินภาษีประชาชนถูกใช้ไปกับของแบรนด์เนมและสินค้าฟุ่มเฟือยอื่น ๆ
จากกระแสการเลือกตั้งครั้งนี้ พี่ทุยจึงจะพาทุกคนไปรู้จักฟิลิปปินส์มากขึ้น ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับฟิลิปปินส์ในสมัยเผด็จการ ผ่านผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าอดีตสุภาพสตรีหมายหนึ่ง ว่าเธอใช้ภาษีประชาชนไปอย่างไรบ้าง
Imelda Marcos กับบทบาททางการเมือง
Imelda Marcos เธอคืออดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของฟิลิปปินส์ผู้ทำงานอยู่เคียงข้างกับ Ferdinand Marcos อดีตประธานาธิบดีและเผด็จการฟิลิปปินส์ตั้งแต่ปี 1965 – 1986
ช่วงก่อนหน้าที่เธอจะก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง เธอประสบกับปัญหาด้านการเงินในครอบครัวจนต้องย้ายจากมะนิลาไปทาโคลบาน ในปี 1949 เธอได้ชนะการประกวดนางงามท้องถิ่นจนได้รับฉายาว่า “กุหลาบงามแห่งทาโคลบาน” หลังจากนั้น ปี 1953 เธอก็ได้อันดับสามจากการประกวดนางงามฟิลิปปินส์ด้วย
ความสวยและสง่างามของเธอ รวมถึงการวางกิริยาท่าทางในที่สาธารณะ ทำให้ชาวฟิลิปปินส์ให้ความสนใจและสนับสนุนเธอเป็นจำนวนไม่น้อย เธอกลายเป็นแฟชั่นไอคอนให้กับผู้หญิงชนชั้นกลางในฟิลิปปินส์ ในปี 1965 เธอช่วยสามีของเธอหาเสียงในการลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี
ด้วยความที่เธอเป็นคนที่เข้าถึงไม่ยาก และเธอดึงเอาวัฒนธรรมท้องถิ่นของฟิลิปปินส์มาเป็นกลยุทธ์ในการหาเสียง เธอจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนจนและแรงงาน อาจกล่าวได้ว่าที่ Ferdinand Marcos ชนะการเลือกตั้งในปี 1965 นั้น ส่วนหนึ่งเลยก็เพราะภรรยาของเขานั่นเอง
หลังจากที่ Ferdinand Marcos ได้เป็นประธานาธิบดี บทบาทของเธอในเวทีการเมืองก็เพิ่มมากขึ้น เธอได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ ฟิลิปปินส์ในปี 1966 ปีถัดมาเธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการกรุงมะนิลา ทำให้บทบาททางการเมืองของเธอเริ่มเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เธอยังมีบทบาทในฐานะนักการทูต ซึ่งเป็นตัวแทนของสามีในการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปพูดคุยและพบปะผู้นำโลกคนต่าง ๆ ด้วย
ถัดมาในปี 1978 Imelda ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ตำแหน่งดังกล่าวทำให้เธอเข้าถึงทรัพยากร ทุน และทรัพสินย์ของฟิลิปปินส์ได้อย่างไม่จำกัด การดำรงตำแหน่งดังกล่าวทำให้เธอสามารถจัดสรรเงินทุนให้กับโครงการต่าง ๆ ของเธอนับไม่ถ้วน
และการที่เธอได้รับตำแหน่งนี้เองก็ยิ่งเป็นการเพิ่มอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองของเธอให้มากขึ้น การเข้าถึงเงินทุนที่ไม่จำกัดเหล่านี้ นี่จึงกลายเป็นการเปิดช่องทางให้กับการฉ้อโกงให้กับสตรีหมายเลขหนึ่งด้วย
จากประชาธิปไตยสู่เผด็จการ
หลังจากที่ Ferdinand Marcos ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่สอง ได้เกิดเหตุการณ์การระเบิดที่ Plaza Miranda ซึ่งขณะนั้นมีการชุมนุมหาเสียงของพรรค Liberal ที่ได้จัดขึ้นเพื่อประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งวุฒิสมาชิกแปดรายรวมถึงผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีในกรุงมะนิลา
ตอนนั้นมีผู้มาฟังปราศัยประมาณ 4,000 คน ระหว่างการปราศัยได้มีการปาระเบิดสองลูกขึ้นไปบนเวที ประกอบกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนเกี่ยวกับการทุจริตและการบริหารที่ฉ้อฉล ด้วยเหตุนี้เอง Marcos จึงใช้เหตุการณ์นี้ด้วยการใช้ข้ออ้างเกี่ยวกับการคุกคามของขบวนการคอมมิวนิสต์ ในการประกาศกฎอัยการศึก รวมถึงการเปลี่ยนระบบการปกครองให้กลายเป็นระบบเผด็จการ
ในช่วงเวลาภายใต้การใช้กฎอัยการศึก Marcos ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมสื่อและเสรีภาพของประชาชน ยกเลิกสภาคองเกรส สั่งจำกุมผู้นำฝ่ายค้านและกลุ่มต่อต้านหัวรุนแรง โดยในช่วงเวลาดังกล่าวมีการวิสามัญฆาตกรรมกว่า 3,257 ราย และมีคนหายตัวไปกว่า 737 ราย แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและความโหดร้ายที่เกิดขึ้นภายในฟิลิปปินส์ ณ ช่วงเวลานั้น
แต่ประชาชนบางกลุ่มกลับยินดีกับการยึดอำนาจของรัฐบาล เนี่องจาก อัตราการเกิดอาชญากรรมลดลง เกิดความสงบมากขึ้น แต่ความสงบนั้นก็ต้องแรกมาด้วยเสรีภาพของประชาชน
Imelda Marcos ทำเงินภาษีประชาชนหายไปไหน?
อาจกล่าวได้ว่าในยุคของมาร์กอสนั้น รัฐบาลรวยขึ้น แต่ประชาชนจนลงคงกล่าวไม่ผิดนัก ทั้ง Ferdinand และ Imelda ต่างก็ใช้เงินจากภาษีประชาชนในการซื้อของฟุ่มเฟือย
อย่างเรื่องอื้อฉาวที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการใช้จ่ายของ Imelda กับการใช้จ่ายที่ไม่สร้างประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศเท่าไหร่ ในส่วนนี้พี่ทุยจึงจะพาทุกคนมาดูว่า Imelda ใช้เงินภาษีประชาชนไปกับอะไรบ้าง
หลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 1977 เธอได้เฉลิมฉลองด้วยการไปชอปปิงและใช้จ่ายไปราว ๆ 384,000 ดอลลาร์ ของส่วนใหญ่ที่เธอชอปปิงก็มักจะเป็นพวกเครื่องประดับและอัญมณี
นอกจากนี้เธอได้ใช้เงินไปในการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศและชอปปิงสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก มีครั้งหนึ่งขณะที่เธออยู่ที่นิวยอร์ก เธอใช้เงินกว่า 2,181,000 ดอลลาร์ในการชอปปิงซื้อเครื่องเพชรและเครื่องประดับภายในวันเดียว
เรื่องฉาวที่สุดของสตรีหมายเลขหนึ่งคนนี้ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ บรรดารองเท้าแบรนด์เนม กว่า 3,000 คู่ ที่เธอสะสมไว้ ซึ่งถูกค้นพบหลังจากที่เธอลี้ภัยหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ซึ่งรองเท้ามากมายเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาล
นอกจากรองเท้า เครื่องเพชร เครื่องประดับต่าง ๆ ที่เธอชอบสะสมแล้วนั้น เธอยังใช้เงินจากประชาชนในการจัดงานเลี้ยง และซื้อของให้กับคนที่สนิทชิดเชื้อกับเธอด้วย อย่างเมื่อในปี 1980 เธอได้ซื้อ Webster Hotel ตั้งอยู่ที่ West 45th Street ราคากว่า 1,577,000 ดอลลาร์ให้กับพลเอก Romeo Gatan ที่สามารถจับกุม Benigno Ninoy Aquino Jr. หัวหน้าฝ่ายค้านได้
จำนวนเงินนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเงินภาษีของประชาชนที่ถูกใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย โดยที่ของเหล่านั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างไร เงินกว่าพันล้านที่สูญเสียไปในสมัยของมาร์กอส กลายเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความฉ้อฉลและล้มเหลวในการบริหารประเทศ
อ่านเพิ่ม
ประชาชนไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจเผด็จการ
ตลอดระยะเวลากว่าหลายปีภายใต้ระบบเผด็จการ ประชาชนได้เห็นแล้วว่า ผู้นำของเขาไม่มีประสิทธิภาพขนาดไหน การเลือกตั้งในปี 1985 นำไปสู่การลุกขึ้นต่อต้านสองสามีภรรยามาร์กอส เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวมีการโกงกันอย่างเห็นได้ชัด
ในปีถัดมาหลังจากข้อมูลเรื่องการโกง โดยเฉพาะการโกงเงินเพื่อไปซื้อของแบรนด์เนมฟุ่มเฟือย ประกอบกับในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้า Benigno Aquino Jr. ถูกลอบสังหาร ซึ่งมีข่าวลือมาว่าเป็นคำสั่งของทั้งคู่ ยิ่งทำให้ประชาชนประท้วงรุนแรงมากขึ้น
มิหนำซ้ำฝ่ายทหารยังแสดงออกชัดเจนว่าจะอยู่ฝั่งประชาชน นั่นจึงทำให้ Ferdinand และ Imelda Marcos หอบเงินหนีกว่าหลายล้านดอลลาร์หนีไปฮาวาย นับเป็นการสิ้นสุดยุคเผด็จการที่ครอบงำฟิลิปปินส์มากว่า 21 ปี
หลังจากหนีออกนอกประเทศ ในปี 1991 Ferdinand Marcos ถึงแก่อสัญกรรมที่ฮาวาย ส่วน Imelda ทำเรื่องขอกลับประเทศ ทำให้หลายฝ่ายไม่ยอม และสั่งฟ้องเธอด้วยคดีฉ้อโกงและทุจริต
แต่การฟ้อง Imelda ก็วุ่นวายเป็นอย่างมาก มีการสั่งฟ้องและยกฟ้องอยู่หลายครั้ง ในปัจจุบันเธอก็ยังมีบทบาทในเวทีการเมืองฟิลิปปินส์อยู่เหมือนเคย ถึงจะไม่มากเท่าสมัยที่เธอเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งก็ตาม
จำนวนเงินมหาศาลที่สูญเสียไปในยุคเผด็จการ ควรจะเป็นสิ่งที่ประชาชนฟิลิปปินส์ลืมไม่ลงด้วยซ้ำ แต่วันนี้ตระกูลมาร์กอสกลับมาโลดแล่นในเวทีการเมืองอีกครั้ง การขึ้นมาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของ ‘กำลังเป็นที่พูดถึงกันว่า นี่จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยหรือไม่? Imelda จะกลับมามีบทบาทในการเมืองฟิลิปปินส์อีกมั้ย?
อย่างไรก็ตามเราก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ เราก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าสถานการณ์ในฟิลิปปินส์จะเป็นยังไงต่อ การที่ตระกูลมาร์กอสกลับขึ้นมานี้จะส่งผลยังไงกับเรามั้ย พี่ทุยเองก็ต้องติดตามต่อไปด้วย