หลังจากที่ทางฝั่งสหรัฐฯ ได้มีการทยอยประกาศงบกันออกมา วันนี้พี่ทุยจะมา “สรุปงบ Apple Google Microsoft” ซึ่งเป็นหุ้นเทคโนโลยีที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนกัน
“สรุปงบ Apple Google Microsoft” เป็นอย่างไรกันบ้าง
1. Apple
รายได้ของไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 81,410 ล้านดอลลาร์ (สูงกว่าคาดที่ 73,300 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 36%) เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว (YoY)
ส่วนกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.30 ดอลลาร์ (สูงกว่าคาดที่ 1.01 ดอลลาร์) โดยรายได้หลักยังมาจาก iPhone ซึ่งมียอดขาย 39,570 ล้านดอลลาร์ (มากกว่าคาดที่ 34,010 ล้านดอลลาร์ เติบโต 49.78% (YoY)) ตามด้วยรายได้จากการบริการโดยมาจากการขายบริการเสริมหรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นอยู่ที่ 17,480 ล้านดอลลาร์ (สูงกว่าคาดที่ 16,330 ล้านดอลลาร์ เติบโต 33% (YoY)) ขณะที่รายได้จาก Mac และ iPad ออกมาที่สูงกว่าคาดการณ์และเติบโตถึง 16%(YoY) และ 12% (YoY) ตามลำดับ
ถึงแม้ว่า Apple จะไม่ได้เปิดเผยการประมาณการรายได้ของไตรมาสที่ 4 แต่ CFO ของบริษัทก็ยังคาดหวังจะเห็นรายได้เติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก
ผลประกอบการภาพรวมเติบโตได้อย่างพอใจก็จริง แต่หลังจากที่ Tim Cook ออกมาบอกว่าวิกฤตขาดแคลนชิปนี้จะส่งผลต่อยอดขาย iPhone และ iPad ในไตรมาสที่ 4 ราคาหุ้นในตลาดหลังเวลาทำการปรับตัวลง 2.9% มาเลยทีเดียว
2. Google
Google มีรายได้ 61,880 ล้านดอลลาร์ (สูงกว่าคาดที่ 56,160 ล้านดอลลาร์ เติบโต 62% (YoY)) กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 27.26 ดอลลาร์ (สูงกว่าคาดที่ 19.34 ดอลลาร์) หลังจากที่ธุรกิจค้าปลีกกลับมาเพิ่มการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์อีกครั้ง ทำให้รายได้ค่าโฆษณาซึ่งเป็นรายได้หลักของ Google เติบโตถึง 69% (YoY) อยู่ที่ 50,440 ล้านดอลลาร์ ส่วนรายได้จาก Youtube ก็เพิ่มขึ้นถึง 83% (YoY) อยู่ที่ 7,000 ล้านดอลลาร์ (สูงกว่าคาดที่ 6,370 ล้านดอลลาร์)
ด้วยรายได้ที่เพิ่มอย่างมหาศาลเกินกว่าที่คาดการณ์กันไว้ ส่งให้ราคาหุ้นในตลาดหลังเวลาทำการปรับตัวขึ้นถึง 3.3%
3. Microsoft
รายได้ของ Microsoft ยังเติบโตที่ 21% (YoY) อยู่ที่ 46,150 ล้านดอลลาร์ (สูงกว่าคาดที่ 44,240 ล้านดอลลาร์) ขณะที่กำไรต่อหุ้นเติบโต 49% (YoY) ออกมาที่ 2.17 ดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นฟื้นตัวจากติดลบกลับขึ้นมาในตลาดหลังเวลาทำการโดยปิดตลาดที่ 0.2%
ซึ่งทาง Microsoft แบ่งธุรกิจไว้ 3 ประเภท ดังนี้
3.1 Intelligent Cloud
ให้บริการด้าน Cloud และ Server รายได้เติบโตถึง 30% (YoY) โดยมีผลิตภัณฑ์ด้าน Cloud อย่าง Azure เป็นผู้สร้างรายได้หลักให้กับธุรกิจนี้ ซึ่งไตรมาสนี้รายได้ก็ยังเติบโตอย่างร้อนแรงถึง 51% (YoY) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่เติบโต 50%(YoY)
3.2 Productivity and Business Processes
มีรายได้จากซอฟต์แวร์ Office, LinkedIn และ Dynamics รายได้เติบโต 25% ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากการกลับมาโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ซึ่งส่งผลดีต่อ LinkedIn
3.3 More Personal Computing
เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขายลิขสิทธิ์ Windows อุปกรณ์เกมส์ Xbox และรายได้จากการโฆษณา โดยกลุ่มนี้มีรายได้เติบโตขึ้น 9% (YoY)
การประมาณการรายได้ไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ของทั้ง 3 ธุรกิจ แม้ว่าจะลดลงจากไตรมาสนี้ แต่เมื่อยังสูงกว่าคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ก็ทำให้ราคาหุ้นกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกได้
หุ้น Secular Growth กับการเติบโตไปพร้อมชีวิตประจำวัน
ด้วยผลประกอบการที่ยังเติบโต ทำให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีเดินหน้าทำ All Time High นักลงทุนก็น่าจะกำลังสงสัยว่า หลังจากนี้หุ้นเหล่านี้ยังเติบโตต่อได้อีกมั้ย พี่ทุยจะพาไปดูโอกาสมากมายมหาศาลของบริษัทเหล่านี้กัน
หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Apple, Microsoft, Google, Facebook และ Amazon จัดเป็นหุ้นประเภท Secular Growth ที่สร้างคลื่นของความต้องการนวัตกรรมได้เอง ทำให้การเติบโตของบริษัทขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปตามกระแสนวัตกรรม และพึ่งพาวัฏจักรเศรษฐกิจน้อยลง
เทคโนโลยีที่บริษัทเหล่านี้สร้างขึ้นยังเป็นพื้นฐานการเติบโตของบริษัทในธุรกิจอื่นอีกด้วย ที่เห็นชัดเจนก็หนีไม่พ้นโปรแกรมในออฟฟิศอย่าง Microsoft Office และระบบ Cloud ทั้ง Google Cloud, Microsoft Azure หรือ Amazon Web Services ที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในยุค Work from Home
ส่วน Apple ก็โดดเด่นในด้านการสร้างความต้องการที่ผู้บริโภคก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการสิ่งนี้ จนทำให้เกิด Smartphone ในทุกวันนี้
ดังนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปชีวิตประจำวันของทุกคนก็ยิ่งก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ทำให้เห็นภาพว่าบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล
อยากลงทุน หุ้น Secular Growth ตอนนี้ทันมั้ย ?
คำถามในตอนนี้ของนักลงทุน นั่นคือ แล้วจะเริ่มลงทุนตอนนี้ทันมั้ย ส่วนที่มีอยู่แล้วจะขายทิ้ง ถือต่อ หรือลงทุนเพิ่ม พี่ทุยขอตอบคำถามนี้ด้วยการพาไปดูสถานการณ์ความกังวลของตลาดและสถิติผลตอบแทนกันซะหน่อย
ตอนนี้สิ่งที่น่ากังวลที่สุดมีอยู่ 2 อย่างที่ทำให้ทิศทางหุ้นไปกันคนละด้าน นั่นก็คือ
- ไวรัสสายพันธุ์ Delta ที่ทำให้หุ้นเทคโนโลยีเพิ่มสูงขึ้น
- เงินเฟ้อ ที่ทำให้หุ้นเทคโนโลยีต่ำลง
นอกจากความไม่แน่นอน 2 สิ่งนี้ ก็ยังมีเรื่องของวัคซีนอีกที่ไม่รู้ว่ารัฐจะแก้ไขปัญหาได้มั้ย (อันนี้หมายถึงรัฐบาลสหรัฐฯ นะ เพราะหุ้นพวกนี้รัฐบาลไทยไม่เกี่ยวข้องอะไรอยู่แล้ว) เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้คำตอบ พอตลาดเกิดความไม่แน่นอน คนก็จะนำเงินไปลงทุนในสิ่งที่มีความแน่นอนแทน
ตลอดปีที่ผ่านมา Apple, Google และ Microsoft พิสูจน์ให้เห็นถึง ‘ความแน่นอน’ ด้วยการได้รับประโยชน์ไม่ว่าจะปิดหรือเปิดเมือง ถ้ากลับมาปิดเมือง ทุกคนก็ต้องใช้ cloud เร่งการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์รวมไปถึงการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่เพื่อ Work from Home
ส่วนปัญหาการขาดแคลนชิปเป็นปัจจัยชั่วคราว ซึ่งถ้าเรามองในมุมกลับ กล้าในเวลาที่คนอื่นกลัว ก็จะถือว่าเป็นโอกาสการลงทุนในช่วงที่หุ้นเติบโตปรับตัวลงด้วยปัจจัยชั่วคราว
แต่ถ้าเราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดและเปิดเมืองได้ การใช้ Cloud ในธุรกิจก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่ดี เพราะมีความสะดวกสบายและคุ้มค่า ส่วนความอัดอั้นที่ไม่ได้ใช้จ่ายมานานยิ่งทำให้มีเหตุผลในการเปลี่ยนมือถือ คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นี่จึงเป็นเสน่ห์ของหุ้นกลุ่ม Secular Growth ที่ให้ความแน่นอนกับตลาดด้วยผลประกอบการเติบโตได้ทุกสภาวะเศรษฐกิจ
ส.ค. และ ก.ย. ของทุกปี เป็นเดือนแห่งโอกาสในการลงทุน
สถิติผลตอบแทนรายเดือนย้อนหลังระหว่างปี 2009-2020 ของดัชนี NASDAQ ชี้ว่าผลตอบแทนเฉลี่ย (Average Return) ของเดือน ส.ค. และ ก.ย. แทบจะเป็นสองเดือนที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดของปี ส่วนโอกาสที่ผลตอบแทนจะเป็นบวก (Probability of Positive Return) ก็อยู่ในระดับต่ำมากเช่นกัน
ทั้งจากผลประกอบการ แนวโน้มการเติบโตไตรมาสที่ 3 ปี 2021 และการเติบโตระยะยาว คงบอกได้เลยว่าควรมีหุ้นกลุ่มนี้ในพอร์ตการลงทุนตลอดเวลา และถ้าเราจะหาช่วงเวลาที่น่าสนใจเพื่อเริ่มต้นลงทุนหรือสะสมเพิ่ม จากสถิติที่พี่ทุยเอามาให้ดูนี้ ก็น่าจะบอกได้เลยว่า ส.ค. และ ก.ย. นี่แหละจะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการลงทุน ก่อนที่ตลาดจะกลับมาคึกคักอีกรอบในไตรมาสที่ 4 ไตรมาสสุดท้ายของปีนั่นเอง
ฟัง Podcast เพิ่มเติม