เมื่อคืนก่อน (วันที่ 10 กันยายน 2563) ก็เป็นอีกคืนหนึ่งที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่กำลังถูกจับตามองหลังปรับตัวลงกันถ้วนหน้า Dow Jones ปรับตัวลดลง -1.45%, S&P500 -1.76% และที่ปรับตัวลงหนักที่สุดก็คือกลุ่ม “หุ้นเทคโนโลยี” ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลงไปมากกว่า -1.99% เลยทีเดียว
อย่างที่เรารู้กันว่า ณ เวลานี้กลุ่มอุตสาหกรรมที่ทำผลประกอบการได้ดีจนทำให้ดัชนีตลาดหลัก ๆ ทั่วโลกปรับตัวขึ้นมาได้ก็คือ “หุ้นเทคโนโลยี” พอหุ้นเทคถูกเทขายลงมาก็ไม่แปลกที่ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ จะปรับตัวลง ทำให้ตอนนี้นักลงทุนเริ่มพูดถึงและเชื่อมโยงกับ ‘วิกฤต Dot-Com’ ในช่วงปี 2000 ที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงมากกว่า 80% ซึ่งถ้าเรามองลึกลงไปในปัจจัยต่าง ๆ แล้วพี่ทุยก็ยังมองว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ใกล้เคียงกับ ‘วิกฤต Dot-Com’ สักเท่าไหร่ เพราะว่า..
1. “หุ้นเทคโนโลยี” ณ ปัจจุบันหลายตัวมี ‘กำไร’ และสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
ความแตกต่างแรกก็คือ หุ้นเทคที่เป็นผู้นำตลาดอยู่ ณ เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่ม FAANG ได้แก่ Facebook, Apple, Netflix, Amazon, Google หรือ Microsoft ฯลฯ ต่างก็มีกำไรมาอย่างต่อเนื่อง แล้วที่สำคัญแนวโน้มการขยายฐานลูกค้ายังสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเทียบกับช่วง ‘Dot-Com Crisis’ แทบจะไม่มีบริษัทไหนกำไร มีเพียงเรื่องราวที่น่าสวยงามเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่รายได้ไม่มี กำไรก็ไม่เกิด จนสุดท้ายทุกคนก็พร้อมใจกันทิ้งหุ้นอย่างที่เราเห็น
แล้วนอกจากนี้ ถ้าเราส่องงบการเงินของหุ้นเทคต่าง ๆ เราก็จะเจอว่ามีเงินสดสูง มีหนี้ระยะยาวต่ำ หรือบางบริษัทแทบไม่มีหนี้เลย ซึ่งแปลว่ามี ‘ฐานะทางการเงิน’ ที่แข็งแกร่งกว่าช่วงก่อนอย่างมาก โอกาสที่จะล้มหายตายจากไปก็จะยิ่งน้อยหรือแทบไม่มีเลย
2. ‘มือถือ’ มีประสิทธิภาพในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงมากกว่า ‘คอมพิวเตอร์’
ในช่วง ‘วิกฤต Dot-Com’ สิ่งที่เป็นตัวนำทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็คือ ‘คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer)’ ที่มีราคาจนทุกคนสามารถจับต้องได้ เมื่อทุกบ้านมีคอมพิวเตอร์ก็เกิดการพัฒนาด้าน Software อย่างมหาศาลจนทำให้เกิดบริษัทเทคโนโลยีมากมาย
แต่ ณ เวลานี้สิ่งเป็นตัวนำเลยก็คือ มือถือหรือ ‘Smart Phone’ ที่มีกันทุกคน แถมบางคนก็มีมากกว่า 1 เครื่อง รวมไปถึงประสิทธิภาพที่ดีมากกว่าคอมพิวเตอร์ยุคก่อนทำให้เกิดการพัฒนาด้าน Software ที่ก้าวกระโดดมากกว่าและที่สำคัญสามารถเข้า Disrupt ธุรกิจที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันได้จริง เราจะได้เห็นได้ชัดเลยก็คึอ Fintech ที่เหล่าธนาคารต่าง ๆ กำลังปรับตัวกันยกใหญ่เพราะ ‘ค่าธรรมเนียม’ ที่เคยได้รับแบบเสือนอนกิน ซึ่งตอนนี้รายได้จากค่าธรรมเนียมลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ
3. ‘หุ้นเทค’ ได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐอย่างเต็มที่
หนึ่งในนโยบายที่ทำให้หุ้นเทค พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดก็คือ นโยบายการลดหย่อนภาษี บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ตั้งแต่ที่ โดนัล ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดี ก็มีการสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีมาโดยตลอด เมื่อลดภาษีก็จะทำให้ ‘กำไรสุทธิ’ ของบริษัทเพิ่มขึ้น บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็มีเงินสดไปบริหารจัดการมากขึ้น ไม่ว่าจะนำเงินไปลงทุนต่อ นำเงินไปซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) ก็จะช่วยทำให้ราคาหุ้นยิ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
4. ยุคข้อมูลล้น (Big data) เป็นประโยชน์กับหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก
อีกปัจจัยที่พี่ทุยว่ามองข้ามไม่ได้เลยก็คือ ‘Big Data’ ที่ส่งผลทำให้บริษัทเทคโนโลยีสามารถออกแบบบริการต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น เลยทำให้แรงจูงใจในการย้ายเข้ามาใช้บริการมีมากขึ้น ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถช่วยทำให้การดำเนินการต่าง ๆ ของบริษัทเฉียบคมมากขึ้น และโอกาสที่จะทำตลาดได้สำเร็จก็จะมีสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
5. โควิด-19 เป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแบบฉับพลัน
เมื่อ ‘เทคโนโลยี’ ใหม่ ๆ ถูกค้นพบและพัฒนาขึ้น สิ่งที่ยากและท้าทายที่สุดก็คือ การเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคให้มาใช้บริการ เพราะกว่าผู้บริโภคจะรู้ว่าทางเลือกใหม่ ดีกว่า ประหยัดกว่า เร็วกว่า มีประสิทธิภาพกว่า ก็ต้องใช้เวลากว่าจะมีการปรับตัวมาใช้งานกัน
แต่ ‘โควิด-19’ เปรียบเสมือนกับตัวเร่งที่ทำให้ทุกคนต้องพึ่งพาตัวเองขึ้น ระบบ Online ลดการสัมผัสกัน เกิดมาตรการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแบบฉับพลัน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็เลยได้รับประโยชน์ตรงนี้เข้าไปเต็ม ๆ
แล้วตราบที่วิกฤตโควิด-19 ยังไม่จบ วัคซีนยังไม่สามารถผลิตออกมาใช้งานได้ในวงกว้างจริง ๆ พี่ทุยเชื่อว่า ‘หุ้นเทค’ ก็ยังได้ยังได้รับประโยชน์
แต่ถ้าถามฟองสบู่จะแตกมั้ย ? ส่วนตัวพี่ทุยคิดว่าน่าจะยัง แล้วถ้าถามว่าจะปรับตัวลงหรือมีการย่อตัวบ้างมั้ย ? มีโอกาสแน่นอน เพราะอะไรที่ตามที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พอถึงเวลานึงย่อมมีนักลงทุนบางส่วนขายทำกำไรออกมา รวมถึงพี่ทุยเองก็มองว่าหุ้นที่ดี แต่ถ้าราคาสูงกว่ามูลค่ามาก ๆ ก็ยังไม่ใช่จังหวะในการซื้อที่เหมาะสมเช่นกัน
ถึงแม้หุ้นเทคโนโลยีจะดูแพง ณ เวลานี้ แต่ด้วยการเติบโตที่สูงในอนาคตก็ไม่แน่ว่า ราคาตอนนี้ก็อาจจะเป็นราคาที่เหมาะสมหรือถูกได้เช่นกัน
Comment