หลายคนคงกำลังอ่านบทความนี้ผ่านสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ยี่ห้อใด ๆ ก็ตาม ซึ่งสิ่งที่อยู่ในมือทุกคนนั้นคือผลพวงการเดินทางครั้งสำคัญของสิ่งประดิษฐ์ที่กลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ และนวัตกรรมเหล่านี้มาจาก Steve Jobs ผู้มา “เปลี่ยนโลก” เปลี่ยนการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างแท้จริง
Steve Jobs คือผู้ก่อตั้งบริษัท Apple แม้เขาจากโลกนี้ไป 12 ปีแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มนุษย์ยุคปัจจุบันยิ่งจะสัมผัสได้ถึงประโยชน์อันเกิดจากผลงานนวัตกรรมทางความคิดของเขามากขึ้นทุกที
อุปกรณ์หลายชนิดเกิดจากสมองและฝีมืออันยอดเยี่ยมของ Steve ทั้งคอมพิวเตอร์ส่วนตัว สมาร์ตโฟน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ไปจนถึงภาพยนตร์แอนิเมชัน ชนิดที่เรียกได้ว่า มองไปทางไหนในโลกก็จะเห็นเงาของ Jobs ผ่านประดิษฐกรรมมากมายที่ต้นธารการสร้างสรรค์เริ่มจากเขา
Steve ถูกจัดอันดับให้เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการธุรกิจของโลกเมื่อปี 2007 เป็น CEO แห่งทศวรรษเมื่อปี 2009 ถูกจัดอันดับให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกตลอดกาลอันดับที่ 17 ของนิตยสาร Forbes และถูกจัดให้เป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสาร Financial Times ปี 2010
เมื่อเขาเสียชีวิตในปี 2011 ปี เขาได้รับการโหวตจากชาวอเมริกันให้เป็น “ผู้สร้างนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” เป็นอันดับสองรองจาก Thomas Edison ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟได้สำเร็จเป็นคนแรก
ชีวิตของ Jobs และตำนานบริษัท Apple นั้นมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายระดับเป็นหนังสือเล่มโต ๆ หรือแยกย่อยเป็นหนังสือได้หลายเล่ม วันนี้พี่ทุยจะขอย่อประวัติชีวิตของนักธุรกิจระดับตำนาน นักสร้างสรรค์แห่งศตวรรษผู้มาเปลี่ยนโลกไปตลอดกาลคนนี้มาให้อ่านจำนวนสองตอน
โดยตอนแรกจะเป็นการส่องประวัติของเขาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ ส่วนตอนที่สองเริ่มตั้งแต่การนับหนึ่งใหม่จนกระทั่งวันที่เขากลับมาทวงตำแหน่ง CEO คืนจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ถ้าพร้อมแล้ว…ไปเริ่มส่องประวัติและเรียนรู้แง่คิดจากชีวิต Steve Jobs กันได้เลย
ตระกูล Jobs ไม่ใช่ครอบครัวแท้ ๆ ของ Steve
Steve เกิด 24 ก.พ. 1955 ที่เมืองซานฟรานซิสโก พ่อและแม่แท้ ๆ มีชื่อว่า Abdulfattah John Jandali ชาวซีเรียและ Joanne Schieble ชาวอเมริกันเชื้อสายสวิส-เยอรมัน ทั้งคู่มีลูกขณะที่ฝ่ายชายเป็นนักศึกษาปริญญาโทของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน และฝ่ายหญิงก็ยังเรียนชั้นปริญญาตรีอยู่
แม้ว่า Joanne จะตั้งครรภ์แล้วแต่พ่อของเธอก็ปฏิเสธไม่ให้พวกเขาได้เข้าพิธีสมรสมกัน พ่อของ Joanne จึงพยายามหาครอบครัวที่เหมาะสมเพื่อจะยก Steve ให้ ขณะที่ Joanne ก็ตั้งเงื่อนไขว่าพ่อแม่ที่จะรับลูกของเธอไปเลี้ยงได้จะต้องมีการศึกษาระดับเรียนจบปริญญาตรี
สุดท้ายแล้ว Paul และ Clara Jobs สองสามีภรรยาที่ไม่สามารถมีลูกได้ก็ผ่านเกณฑ์และได้รับคัดเลือกให้เป็นพ่อและแม่ของ Steve ทั้งที่พวกเขาไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยตามที่ Joanne คาดหวัง แต่พวกเขาก็ชนะใจครอบครัวแท้ ๆ ของ Steve จนได้
หากถามความรู้สึกของ Steve แล้ว เขากลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมากนัก ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง เขาถึงกับบอกว่า Paul และ Clara คือพ่อแม่ของเขา 1000% ส่วน Abdulfattah และ Joanne เป็นเพียงธนาคารอสุจิและไข่เท่านั้น “นี่ไม่ใช่เรื่องหยาบคาย ผมแค่พูดความจริง” Steve Jobs กล่าว
นับถือศาสนาพุธ-ศรัทธาความรู้แจ้งทางจิตวิญญาณ
Jobs ในวัย 5 ขวบย้ายบ้านไปอยู่เมืองเมาน์เทนวิวใกล้กับศูนย์กลางของซิลิคอนแวลลีย์ที่กลายเป็นเมืองหลวงของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัยในช่วงที่เขาเติบโต หลังจากนั้นไม่นานครอบครัว Jobs ได้รับเด็กหญิงชื่อ Patty มาเป็นลูกบุญธรรมอีกคนหนึ่ง
ซึ่งก็ยิ่งทำให้ครอบครัวนี้อบอุ่นมากขึ้น Steve ในวัยเด็กถูกฝึกให้ใช้ชีวิตในห้องทำงานของ Paul เขาจึงได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เมื่อเข้าโรงเรียนเขาสามารถทำข้อสอบของเด็กชั้นที่โตกว่าถึง 2 ชั้น ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าไรนักและถูกคุณครูจัดให้เป็นเด็กกวนเกเรเสียด้วยซ้ำไป
Paul และ Clara Jobs รักษาสัญญาที่ให้ไว้ด้วยการส่ง Steve เรียนระดับชั้นมหาวิทยาลัยแม้ว่าครอบครัวจะมีทุนทรัพย์ไม่มากนัก แต่เมื่อ Steve เรียนที่วิทยาลัยรีด เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอนไปได้แค่ 6 เดือนเขาก็ขอลาออกเพราะไม่เชื่อในเรื่องระบบการศึกษา เขาลาออกมารีไซเคิลขวดโค้กขายและขอข้าวจากวัดฮินดูนิกายหะเรกฤษณะประทังชีวิต ที่นี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Steve สนใจแนวคิดทางศาสนาเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ
อีกครั้งหนึ่งช่วงยุค 70s ที่เขามีงานการทำเป็นหลักแหล่งแล้ว Steve ก็เคยขอลางาน 7 เดือนเต็มเพื่อเดินทางไปอินเดีย อาศัยตามอาศรมของนักพรต และตั้งใจแสวงหาความรู้แจ้งทางจิตวิญญาณด้วยการศึกษาจากนักบวชนักพรตหลายคน ต่อมาเขาก็ไปฝึกปฏิบัติตามแนวทางพุทธนิกายเซนอย่างจริงจัง จนเกือบเคยจะไปบวชเป็นพระเซนที่วัดเอเฮจิ ญี่ปุ่นเลยทีเดียว
หลังกลับจากอินเดีย Steve ได้กลับมาพัฒนาเกมตู้ให้ Atari และอุปกรณ์โทรศัพท์ Blue Box จุดเปลี่ยนสำคัญของงานออกแบบที่ต่างไปจากเดิมก็คือจำนวนชิปในแผงวงจรที่ลดจำนวนลง สะท้อนให้เห็นถึงการลดความซับซ้อน และหันมาเน้นการออกแบบที่เรียบง่ายขึ้นของ Steve
Apple I II III เจ้าแอปเปิลลูกที่หล่นใส่หัว Steve Jobs
จุดเริ่มต้นของ Jobs และบริษัท Apple นั้น หากสังเกตดี ๆ ก็จะคล้ายกับนักธุรกิจสายเทคโนโลยีหลายคนในยุค 80-90s ที่เริ่มต้นการสร้างเทคโนโลยี “มาก่อนกาล” ร่วมกับเพื่อนในวัยเด็ก
Bill Fernandez พนักงานคนแรกของ Apple ก็เป็นเพื่อนกับ Steve มาก่อนตั้งแต่ตอนเรียนประถม และเขาเป็นคนแนะนำให้ Steve รู้จักกับ Steve Wozniak เพื่อนบ้านของ Bill ซึ่งต่อมา Steve อีกคนคนนี้ได้กลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple ส่วนจุดเริ่มต้นของ Apple I นั้นพูดได้ว่าผู้มีบทบาทในการสร้างเทคโนโลยีนี้เป็นทาง Steve Wozniak มากกว่า Steve Jobs ทั้งสองคนได้รับแรงบันดาลใจจาก “Altair” เครื่อง Personal Computer (PC) เครื่องแรก ๆ ของโลก ที่พวกเขาได้เห็นที่งานของชมรมคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง
ส่วน Jobs มีหัวด้านการค้า เขาสามารถวางแผนการขายจนมีผู้สั่งซื้อ Apple I จำนวน 50 เครื่อง ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัววางขายทั่วไป ต่อมาในเดือน ก.ค. ปี 1976 Apple I ก็วางขายเป็นครั้งแรกสนนราคาเครื่องละ 666.66 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,763 ดอลลาร์ในปัจจุบัน)
สอง Steve จดทะเบียนตั้งบริษัทในเดือน ม.ค. ปี 1977 โดยมี Ronald Wayne นักลงทุนเข้ามาลงหุ้นด้วย 10% แต่ไม่นานนัก Ronald ก็ถอนหุ้นออกไป กรณีของ Ronald Wayne นี้น่าสนใจตรงที่หากเขายังถือหุ้นจำนวนนั้นอยู่จนถึงปี 2015 มูลค่าหุ้น 800 ดอลลาร์ในตอนแรกจะเพิ่มขึ้นเป็น 60,000 ล้านดอลลาร์!
Apple II เปิดตัวในเดือน เม.ย. ปี 1977 กลายเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งอื่น ๆ ไปอีกตรงที่มีกราฟิกสีอิงหน่วยความจำ สามารถใช้เทปคาสเส็ตบันทึกข้อมูลได้และรุ่นต่อ ๆ มาไม่นานก็ใช้ฟล็อปปี้ดิสก์ขนาน 5.5 นิ้วบันทึกข้อมูลแทน
จุดเด่นของ Apple II ในตอนนั้นคือการเป็นคอมพิวเตอร์เจ้าเดียวที่ราคาจับต้องได้สำหรับครอบครัวและผู้ใช้งานตามบ้าน จนกระทั่งเดือน พ.ค. ปี 1980 Jobs ก็ได้แนะนำให้โลกได้รู้จัก Apple III ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายเช่นเดิม และทำให้ปี 1980 เป็นปีที่ Apple เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเตรียมการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
บริษัทมหาชนที่สร้างเศรษฐีมากที่สุด…เมื่อเปิดขายหุ้น
12 ธ.ค. ปี 1980 Apple เปิดขายหุ้นแก่สาธารณชนครั้งแรก ว่ากันว่าการเปิดขายหุ้นที่ราคา 22 ดอลลาร์ต่อหุ้นในครั้งนั้นทำให้เกิดเศรษฐีใหม่ทันทีมากกว่า 300 ราย ซึ่งนับว่ามากกว่าที่บริษัทไหนเคยทำได้ในประวัติศาสตร์
และยังเพิ่มเงินทุนให้กับตลาดการลงทุนของอเมริกา ระดับทำลายสถิติที่บริษัทยานยนต์ Ford Motor เคยทำไว้ในปี 1956 ด้วย เรียกว่าใครที่กล้าเสี่ยงกับกับ Apple ตอนเปิดบริษัทก็มีแต่ร่ำรวยกันหมด
มีการวิเคราะห์กันว่าความสำเร็จในช่วง 10 ปีแรกของ Apple เกิดมาจากความมั่นใจของ Jobs ที่ทำให้นักลงทุน ลูกค้า ตลอดจนนักธุรกิจในวงการต่าง ๆ เชื่อมั่นและอยากมาร่วมงานกับเขา
เห็นได้จากช่วงปี 1978 เขาสามารถชวนให้ Michael Scott ผู้บริหารระดับสูงของ National Super Conductor มาทำงานกับ Apple ได้ ส่วนในปี 1983 เขาก็ชวน John Sculley เบอร์หนึ่งของ Pepsi ในขณะนั้นมาร่วมงานเป็น CEO ของ Apple ได้อีกคน สะท้อนแนวคิดของ Steve ที่เชื่อว่า ความสำเร็จของธุรกิจคือการทำงานเป็นทีม และควรทำงานท่ามกลางคนเก่ง ๆ หลายคน
ต้นแบบในการทำธุรกิจของผมคือ วง The Beatles พวกเขาคือชายหนุ่มสี่คนที่คอยตรวจสอบจุดอ่อนของกันและกัน และก็ยังสร้างสมดุลให้กันได้อย่างกลมกลืน นั่นทำให้พวกเขาได้รับผลลัพธ์การทำงานที่ยอดเยี่ยม” – Steve Jobs
McIntosh และกลยุทธ์การตลาดล้ำสมัย
ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ Apple โด่งดังและประสบความสำเร็จอย่างขีดสุดและเป็นผลิตภัณฑ์ที่ Jobs บอกว่า เป็นความภาคภูมิใจที่สุดก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ McIntosh คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ถูกผลิตออกขายจำนวนมาก และสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้ผู้ใช้ด้วยการมีเมาส์คอมพิวเตอร์ใช้ควบคุมการทำงานของหน้าจอ
Steve เคยเล่าอย่างภูมิใจว่า เมื่อครั้งที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ McIntosh ในการประชุมผู้ถือหุ้น ผู้คนในห้องประชุมได้ปรบมือชื่นชมยาวนานถึง 5 นาทีทีเดียว
ที่มาที่ไปของชื่อ “McIntosh” นั้นมาจากพันธุ์ผลไม้แอปเปิลพันธุ์โปรดของ Jef Raskin นักออกแบบคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ แต่ในเวลานั้นคำว่า Macintosh ได้ถูกจดทะเบียนเป็นชื่อทางการค้าของบริษัท Macintosh Laboratory ไปแล้ว ทำให้ Apple ต้องปรับเปลี่ยนตัวสะกดเสียใหม่กลายเป็นคำว่า McIntosh อย่างที่เห็นกัน
การโฆษณาประชาสัมพันธ์ McIntosh ในยุค 80s ก็เต็มไปด้วยแคมเปญการตลาดที่ยิ่งใหญ่ตามที่ Steve ตั้งใจให้เป็นระดับปรากฏการณ์ เขาทุ่มเงินราว 2.5 ล้านดอลลาร์เพื่อเหมาซื้อหน้าโฆษณาทั้ง 39 หน้าของนิตยสาร Newsweek สำหรับโฆษณาผลิตภัณฑ์ใหม่
และทุ่มเงินอีก 1.5 ล้านดอลลาร์ซื้อเวลาโฆษณาระหว่างการถ่ายทอดสดการแข่งขันซูเปอร์โบว์ล ที่ครองสถิติราคาการซื้อโฆษณาเพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์ที่แพงที่สุดของสหรัฐฯ ตลอดมา ทำแคมเปญ “ให้ยืมใช้ก่อนซื้อจริง” ให้ผู้ใช้บัตรเครดิตเอา McIntosh ไปทดลองใช้ที่บ้านได้ 24 ชั่วโมง ปรากฏว่ามีผู้ขอเข้าร่วมการทดลองใช้มากกว่า 200,000 คน ในช่วงเวลาไม่นานเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ของ Apple ทำราคาขยับขึ้นจากเครื่องละ 1,955 ดอลลาร์เป็น 2,495 ดอลลาร์
ถูกปลดจากบริษัทตัวเอง เพราะให้พนักงานมาทำงาน 7 โมงเช้า
แม้ว่า Jobs จะเพิ่งสร้างความสำเร็จระดับปรากฏการณ์และสร้างรายได้มหาศาลให้กับ Apple แต่เรื่องไม่คาดคิดกับชีวิตและตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อกลุ่มผู้บริหารของ Apple มองว่าการบริหารงานลูกน้องของ Jobs มีปัญหา ฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อเขาเรียกประชุมลูกน้องในบริษัทช่วง 7 โมงเช้าของวันหนึ่ง
ซึ่งสร้างความเครียดและความกดดันให้กับลูกน้องในบริษัทมาก ฝั่ง John Sculley CEO ในตอนนั้นไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ของ Jobs แต่เป็นฝั่ง Jobs เองที่พยายามไปล็อบบี้ให้บริษัทไล่ John ออกสุดท้ายเกิด “เกมพลิก” เมื่อคณะกรรมการบริหารกลับลงมติปลด Jobs ออกจากทุกตำแหน่งยกเว้นประธานบริหาร ต่อมาเมื่อเขาไม่ยอมมาทำงานนานถึง 5 เดือน บริษัทก็ไล่เขาออก
Jobs ได้รับบทเรียนราคาแพงและบาดแผลชีวิตระดับฉกาจฉกรรจ์ เพราะเขาผูกพันกับ Apple มาก แต่เขาก็ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดที่ผ่านมาอย่างมาก Jobs เลือกที่จะก้าวต่อไปด้วยการขายหุ้น Apple ทั้งหมด 6.5 ล้านหุ้น ได้รับเงินไป 70 ล้านดอลลาร์ (เหลือไว้เพียงหุ้นเดียว)
แล้วเขาก็ลงทุนสร้างกิจการใหม่ชื่อบริษัท NeXT แต่การสร้างตำนานขึ้นใหม่อีกครั้งที่บริษัทนี้ไม่ง่ายเหมือนเมื่อตอนสร้าง Apple และผลลัพธ์ก็ไม่โด่งดังเท่า ในเวลานั้นเขายังหันเหความสนใจไปทำธุรกิจอื่นด้วย กับการซื้อ Graphic Groups บริษัททำแอนิเมชันที่เคยอยู่ในสังกัดบริษัท LucasFilm ของ George Lucas ผู้สร้างหนัง Star Wars ซื้อมาแล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็น Pixar Studios
แม้ว่า Jobs จะไม่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการวาดการ์ตูน แต่เขาเข้าใจเทคโนโลยีการผลิตคอมพิวเตอร์กราฟิกและได้ร่วมพัฒนาภาพยนตร์ของ Pixar เรื่องแรกที่ดังระดับโลก ชื่อว่า Toy Story เข้าฉายเมื่อปี 1995 โดยเขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง
หลังจากนั้น Pixar Studios ก็ได้กลายสตูดิโอผลิตหนังแอนิเมชันชั้นนำของโลกภายใต้ชายคาของ Disney และสร้างผลงานที่ประสบความสำเร็จมากมายจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Monsters, Inc., Finding Nemo, The Incredibles และ WALL-E เป็นต้น
ท้ายที่สุดในปี 2005 Disney ได้ขอซื้อ Pixar Studios จาก Jobs ด้วยมูลค่าสูงถึง 7,400 ล้านดอลลาร์ และให้ Jobs ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียวที่ถือหุ้นของ Disney มากที่สุดถึง 7%
ผมค่อนข้างมั่นใจว่า สิ่งต่าง ๆ คงไม่เกิดขึ้นถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจาก Apple มันเป็นยาขมที่คนไข้อย่างผมต้องการมัน” – Steve Jobs
ติดตามเรื่องราวของตอนที่สองเริ่มตั้งแต่การนับหนึ่งใหม่จนกระทั่งวันที่เขากลับมาทวงตำแหน่ง CEO คืนจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตได้บทความหน้า ส่องประวัติ Steve Jobs | EP 2/2 วาระสุดท้ายของเจ้าพ่อ McIntosh ศาสดาแห่ง Apple
อ่านเพิ่ม
- ส่องประวัติ Steve Jobs l EP 2/2 วาระสุดท้ายของเจ้าพ่อ McIntosh ศาสดาแห่ง Apple
- ส่องประวัติ Tim Cook จากผู้ที่เคยปฏิเสธเข้าทำงาน Apple สู่ CEO
อ้างอิง