วันนี้พี่ทุยย้อนอดีต ไปดูวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำจักรวรรดิโรมันอันเกรียงไกรต้องล่มสลายลง เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจโรมันเมื่อเกือบ 2000 ปีที่แล้ว กรุงโรมถังแตก ได้อย่างไร ไปฟังกัน
เกิดอะไรกับจักรวรรดิโรมัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 3?
โรมันเป็นจักรวรรดิที่ก่อตั้งในปีที่ 27 ก่อนคริสตกาล มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม เมืองหลวงประเทศอิตาลีในปัจจุบัน เป็นสถานที่ตั้งของสำนวนว่า “ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่กรุงโรม” เพราะเมื่อครั้งที่จักรวรรดิรุ่งเรืองถึงขีดสุดในศตวรรษที่ 2 โรมขยายอำนาจไปไกลถึงเกาะบริเตน แอฟริกาเหนือ และเอเชียไมเนอร์ เรียกว่าเป็นจักรวรรดิที่มีอำนาจมากที่สุดในยุคโบราณ
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 3 โรมเผชิญกับปัญหานานัปการ ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานจากต่างชาติ สงครามกลางเมือง โรคระบาด และวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว โรมถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออกโดยไม่ขึ้นตรงต่อกัน และ ค.ศ. 476 จักรวรรดิโรมันตะวันตกก็ถึงคราวล่มสลาย เปิดทางให้ชนเผ่าต่าง ๆ ในยุโรปปกครองดินแดนที่แบ่งแยกสืบต่อมา
ซึ่งต้นเหตุของ วิกฤตการณ์คริสต์ศตวรรษที่ 3 (The Crisis of the Third Century)” ของโรมัน ที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 215 – 284 เริ่มเห็นเค้าลางหายนะตั้งแต่ยุคทองของโรมันสิ้นสุดลงในปี 180 หลังจักรพรรดิมาร์คุส ออเรลิอุส (Marcus Aurelius) ถูกลอบปลงพระชนม์
จักรวรรดิอันเกรียงไกรตกอยู่ภายใต้ผู้นำไร้ความสามารถตั้งแต่ปี 192 เป็นต้นมา โรมสับเปลี่ยนจักรพรรดิแทบจะปีต่อปี ใครก็ตามที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำมีความคิดอย่างเดียวว่าต้องกอบโกยผลประโยชน์ให้มากที่สุด นโยบายพัฒนาประเทศจึงหยุดชะงัก
ทหารที่สู้ศึกในชายแดนไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม จักรวรรดิหันมาใช้งานทหารรับจ้างที่พร้อมแปรพักตร์ทุกเมื่อ ชนพื้นเมืองเห็นดังนั้นจึงลุกฮือขึ้นก่อกบฏ โรมต้องสู้ศึกทั้งภายในและภายนอก แต่แทนที่จะตระหนักถึงปัญหา ชนชั้นสูงกลับยังคงใช้ชีวิตหรูหราอยู่ร่ำไป ปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมทั้งหลายจึงนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจของประเทศในเวลาต่อมา
วิกฤตเศรษฐกิจโรมัน กรุงโรมถังแตก
สาเหตุหลักของวิกฤตการณ์การเงินโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 3 เกิดจากการลดค่าเงินลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มแรกโรมเคยใช้เหรียญดีนาริอุส (Denarius) เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งเช่นเดียวกับเงินตราโลกโบราณทั้งหลาย ดีนาริอุสเป็นเหรียญเงินเต็มมูลค่า (Full Bodied Money) ที่มีส่วนประกอบแร่เงินสูงถึง 95%
โดยก่อนหน้าจักรวรรดิโรมันมีอาณาเขตครอบคลุมดินแดนคาบสมุทรไอบีเรีย (Iberian Peninsula) ที่เต็มไปด้วยแหล่งแร่เงิน โรมจึงผลิตเงินขึ้นมาจากสินแร่ล้ำค่าที่ค้นพบ ทว่าทรัพยากรแร่ธาตุก็ค่อย ๆ ร่อยหรอไป โรมจึงลดสัดส่วนแร่เงินที่ใช้ผลิตเหรียญลงตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม แร่เงินที่หมดไปไม่ใช่ปัญหาเดียว ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 การค้าเส้นทางสายไหม (Silk Road) ได้รุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ เส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเลเป็นตัวเชื่อมโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน ชนชั้นสูงโรมันพากันจับจ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างผ้าไหมและเครื่องเทศมาปรนเปรอตนเอง
พลินีผู้อาวุโส (Pliny the Elder) นักปราชญ์ในยุคนั้น ถึงกับกล่าวว่า ทุก ๆ ปี โรมเสียเงินกว่าร้อยล้านเหรียญเพื่อให้ได้มาซึ่งข้าวของไร้ประโยชน์ การซื้อหาสินค้านอกอย่างไม่บันยะบันยังทำให้เงินตราไหลออกนอกประเทศทุกขณะ เป็นบ่อเกิดปัญหาทำให้กรุงโรมเจอเงินเฟ้อรุนแรงในเวลาต่อมา
ปัญหาเงินเฟ้อในกรุงโรมเรื้อรังมาจนถึงปี 215 คาราคัลลา (Caracalla) จักรพรรดิขณะนั้น ประกาศใช้เหรียญเงินรูปแบบใหม่ที่เรียกว่าอันโตนินิอานุส (Antoninianus) โดยหวังว่าเงินตรารูปแบบใหม่จะช่วยแก้ไขปัญหาการเงินในจักรวรรดิ
ทว่าแม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจ อัตราแลกเปลี่ยนใหม่ถูกกำหนดให้ 2 เหรียญดีนาริอุสมีค่าเท่ากับ 1 เหรียญอันโตนินิอานุส น้ำหนักและปริมาณแร่เงินในเหรียญใหม่น้อยกว่าของเดิมอย่างเทียบไม่ติด แทนที่รัฐจะได้เหรียญเงินเกือบบริสุทธิ์กลับคืนมาในระบบ ชาวโรมันกลับใช้จ่ายด้วยเหรียญอันโตนินิอานุสและเก็บเหรียญดีนาริอุสเอาไว้ ในไม่ช้าอันโตนินิอานุสก็เข้ามาแทนที่เหรียญเก่าอย่างสมบูรณ์ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเข้ากับกฎของเกรแชม (Gresham’s Law) หลักการทางการเงินที่ว่า “เงินเลวไล่เงินดี”
สุดท้ายระบบเงินตราโรมันแต่โบราณจึงล่มสลาย ส่วนเหรียญอันโตนินิอานุสก็ถูกลดส่วนผสมแร่เงินลงเรื่อย ๆ กระทั่งในปี 280 เหรียญที่ถูกผลิตใหม่มีแร่เงินผสมเพียง 2% เท่านั้น เงินตราโรมันจึงหมดมูลค่า แทบจะไร้ความสำคัญในตลาดโลกอย่างสิ้นเชิง
ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
แม้จะผลิตเงินรูปแบบใหม่ขึ้นมาใช้ แต่รัฐก็ไม่อาจแก้ปัญหาเงินเฟ้อและเศรษฐกิจตกต่ำได้ มูลค่าของเงินที่ลดลงทำให้ผู้คนซื้อหาสินค้าอุปโภคบริโภคได้อย่างยากเย็น บรรดาแรงงานที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมพากันรวมกลุ่มประท้วง บางส่วนก็ละทิ้งเมืองใหญ่ หันไปพึ่งบารมีขุนนางต่างจังหวัด
ขุนนางบ้านนอกจึงหันมาใช้ที่ดินในครอบครองเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ ที่ทำกินเหล่านั้นขยายตัวขึ้นเป็นเมืองขนาดเล็กในป้อมปราการ เป็นที่มาของระบบเจ้าขุนมูลนาย (Feudalism) ในยุโรปยุคกลางที่ขุนนางมีอำนาจเด็ดขาดเหนือผู้เช่าในที่ดินของตน จักรวรรดิจึงถึงคราวล่มสลาย ไม่อาจรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางได้เหมือนเก่า
วิกฤติเศรษฐกิจโรมันไม่ได้สร้างความเสียหายในจักรวรรดิเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อมาถึงอาณาจักรน้อยใหญ่ที่เป็นคู่ค้าสำคัญของโรม ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 เป็นต้นมา เมืองท่ามากมายได้ผุดขึ้นตามชายฝั่งทะเลแดง มหาสมุทรอินเดีย และอ่าวเบงกอล เมืองเหล่านี้มีหน้าที่เป็นจุดขนถ่ายและแลกเปลี่ยนสินค้าจากจีนและอินเดียไปยังกรุงโรม
ทว่าเมื่อคู่ค้าอย่างโรมมาถึงคราวอวสาน เมืองเหล่านั้นก็ได้รับความเสียหายไม่แตกต่าง อาณาจักรทางตอนใต้ของอินเดียขาดรายได้จากการค้าขายกับโรมจนถึงคราวล่มสลายไปตามกัน ถือเป็นจุดตกต่ำของการค้าเส้นทางสายไหมเลยก็ว่าได้
บทสรุป
ความง่อนแง่นของจักรวรรดิในคริสต์ศตวรรษที่ 3 เกิดจากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม โรคระบาด หรือแม้แต่พฤติกรรมสุรุ่ยสุร่ายของผู้คน ตลอดระยะเวลาเกือบ 300 ปี โรมขยายอาณาเขตกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยมีอาณาจักรใดทำมาก่อน ทว่าจักรวรรดิกลับล้มเหลวในการรักษาฐานอำนาจของตัวเองไว้
แม้จะมีความพยายามในการแก้ปัญหาหลายครั้ง ทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบเงินตรา รวมถึงควบคุมการนำเข้าสินค้าจากต่างแดน แต่ทุกสิ่งกลับสายเกินแก้ วิกฤตการณ์ครั้งนั้นนำไปสู่การแบ่งแยกจักรวรรดิในค.ศ. 285 และโรมก็ไม่เคยกลับมาผงาดในหน้าประวัติศาสตร์อีกเลย
อ่านเพิ่ม