รู้จัก Bernard Madoff จากผู้ร่วมก่อตั้งตลาดหุ้น NASDAQ สู่นักต้มตุ๋น “แชร์ลูกโซ่”

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • แชร์ลูกโซ่ (Ponzi scheme) คือหนึ่งในวิธีการหลอกลวงประชาชนให้มาลงทุนด้วย โดยจะหลอกผู้ที่มาลงทุนว่าจะได้ผลตอบแทนสูง และมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนทั่วไป นอกจากนี้แชร์ลูกโซ่มักจะมาพร้อมกับธุรกิจขายตรงหรือธุรกิจทั่วไปเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง
  • เหตุการณ์แชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เริ่มต้นมาจาก Bernard Madoff หลอกคนให้มาลงทุนกับบริษัทของเขา แล้วจะได้ผลตอบแทนที่สูง และความเสี่ยงต่ำจากเทคโนโลยีที่เขาใช้ ด้วยภาพลักษณ์ทั้งหมดที่เขามีจากที่สั่งสมมาตั้งแต่ที่เป็นผู้บริหารตลาดหุ้น Nasdaq ทำให้ประชาชนหลงเชื่อและมาลงทุนกับเขา 
  • ท้ายที่สุดเหตุการณ์ทั้งหมดก็สิ้นสุดลงเมื่อเศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ ผู้คนแห่ไปถอนทุนคืน แต่ Madoff ไม่มีเงินจ่ายคืนแก่สมาชิก ทำให้เรื่องทุกอย่างถูกเปิดเผย Madoff ถูกดำเนินคดี โดยถูกตัดสินจำคุก 150 ปี และริบทรัพย์สินแสนกว่าล้านดอลลาร์ 

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

หนึ่งในภัยทางการเงินที่ไม่อาจมองข้าม ก็คือ “แชร์ลูกโซ่” อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกเอาเงินจากเราไป! ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีข่าวแชร์ลูกโซ่ทั้งเล็กทั้งใหญ่โผล่มาให้เห็นกันอยู่ตลอด แล้วแชร์ลูกโซ่นั้นทำงานอย่างไรกัน ถึงสามารถหลอกคนได้มากมายมหาศาลแบบนี้? 

ครั้งหนึ่งโลกของเราเคยมีแชร์ลูกโซ่ที่เรียกได้ว่าใหญ่มากที่สุดในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นมาแล้ว จากเหตุการณ์ครั้งนั้นมันได้สร้างความเสียหายไปกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

วันนี้พี่ทุยจึงจะพาทุกคนไปรู้จักกับเหตุการณ์ดังกล่าวว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร รวมถึงเราจะไปดูกลยุทธ์ท์และวิธีการที่แชร์ลูกโซ่ใช้หลอกให้คนมาลงทุนด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแบบนี้ซ้ำขึ้นเป็นครั้งที่ 2 !

แชร์ลูกโซ่ คืออะไร ?

แชร์ลูกโซ่ (Ponzi scheme) คือ กลยุทธ์หรือวิธีการ “หลอกลวง” ประชาชนให้มาลงทุน ซึ่งแชร์ลูกโซ่นั้นจะทำกันเป็นขบวนการ โดยจะหลอกผู้ที่มาลงทุนว่าจะได้ผลตอบแทนสูง และมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนทั่วไป

แชร์ลูกโซ่มักจะแฝงมาพร้อมกับธุรกิจทั่วไปหรือธุรกิจขายตรงเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ ผู้ลงทุนจะต้องหาสมาชิกใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งเงินที่ได้จากการสมัครเข้าเป็นสมาชิกนั้นก็จะถูกแบ่งไปเป็นผลตอบแทนให้กับสมาชิกเก่า เมื่อผ่านไปสักระยะเมื่อไม่มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา ไม่มีเงินจ่ายให้กับสมาชิกเก่า ท้ายที่สุดแชร์ก็จะล่มและปิดตัวไปพร้อมกับผู้เสียหายมากมาย

อย่างที่กล่าวไป แชร์ลูกโซ่มักจะมาพร้อมกับธุรกิจ โดยธุรกิจที่ใช้ในการหลอกลวงเพื่อให้คนคล้อยตามนั้นมักจะเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย หรือลงทุนกับบริษัทที่จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แล้วจึงอ้างว่าบริษัทเหล่านี้จะสร้างกำไรให้อย่างมหาศาล

เมื่อผู้คนเริ่มมั่นใจและลงทุนแล้วนั้น ก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการแชร์ลูกโซ่ สมาชิกรายเก่าก็จะใช้การโฆษณาชวนเชื่อหลอกให้คนสนใจเพื่อที่ตนเองจะได้ค่าหาสมาชิกมา ยิ่งหามาก็จะได้มา วนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนกับโซ่ที่ต่อกันไปเรื่อย ๆ นั่นเอง

โดย Ponzi scheme หรือแชร์ลูกโซ่ในภาษาอังกฤษนั้นมีที่มาจากนักธุรกิจชาวอิตาลีที่เข้ามาทำธุรกิจในสหรัฐฯ เขาใช้วิธีการดังกล่าวในการฉ้อโกงและหลอกเอาเงินประชาชน ผ่านการอ้างว่าจะได้กำไรมหาศาลจากธุรกิจที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้คนหลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก และทุกอย่างก็ดำเนินไปตามเหมือนที่อธิบายข้างต้น

สมาชิกเก่าหาสมาชิกใหม่ เงินจากคนใหม่ไหลเวียนสู่คนเก่าไปเรื่อย ๆ จนในท้ายที่สุดเรื่องก็ฉาวขึ้นจนเป็นข่าวดังและแชร์ลูกโซ่ดังกล่าวก็ได้ล้มลง ชื่อของเขาจึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกวิธีการที่เขาใช้หลอกลวงประชาชน หรือ Ponzi scheme 

Bernard Madoff ชายผู้เริ่มต้น “แชร์ลูกโซ่” ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

เมื่อเราทราบลักษณะและวิธีการทำงานของแชร์ลูกโซ่กันแล้ว ต่อมาพี่ทุยก็จะพาทุกคนมารู้จักกับเหตุการณ์แชร์ลูกโซ่ที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นโดยนักการเงินชาวอเมริกันที่มีชื่อว่า Bernard Madoff

Bernard Madoff เกิดเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 1938 ที่เมืองควีนส์ นครนิวยอร์ก เขาเป็นลูกคนที่ 2 ใน 3 คน ของ Sylvia and Ralph Madoff เขาสำเร็จการศึกษาจาก Far Rockaway High School ในปี 1956 และได้เขาได้เข้าศึกษาต่อที่ University of Alabama ต่อ

แต่เขาก็เรียนเพียงแค่ 1 ปี และได้ย้ายไปเรียนด้านรัฐศาสตร์ที่ Hofstra University และสำเร็จการศึกษาที่นั้น ต่อจากนั้นเขาได้เข้าเรียนต่อด้านกฎหมายที่ Brooklyn Law School ทว่าเขาศึกษาได้ปีกว่า ๆ เขาก็ออกมาและเริ่มทำงาน 

ในปี 1960 Madoff ได้ก่อตั้งบริษัท Bernard L. Madoff Investment Securities LLC ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าซื้อขายหุ้น ด้วยเงินกว่า 50,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินที่เขาได้รับจากการทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยช่วงก่อนหน้าที่จะก่อตั้งบริษัท รวมถึงเขาได้กู้เงินมาจาก Saul Alpern พ่อตาของเขาเองด้วย โดยมี Carl J. Shapiro นักธุรกิจสหรัฐฯ เป็นลูกค้ารายแรก ๆ ที่ลงทุนกว่า 100,000 ดอลลาร์กับบริษัทของ Madoff 

บริษัทได้เริ่มเสนอราคาและเสนอขายผ่าน Pink Sheets ของ National Quotation Bureau เพื่อที่จะแข่งขันกับบริษัทต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก บริษัทของเขาได้เริ่มนำเทคโนโลยีสารสนเทศคอมพิวเตอร์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่มาก ๆ ในสมัยนั้น มาใช้ในการเพื่อเผยแพร่ราคาหลักทรัพย์ต่าง ๆ 

เขาเองยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งตลาดหุ้น NASDAQ ในปี 1971 ด้วย และเขาได้ขึ้นมาเป็นประธานตลาดหุ้นของ NASDAQ ด้วย ต่อมาในปี 1987 เขาได้ย้ายบริษัทของเขามาอยู่ที่เกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ก แล้วเขาก็ได้ก่อตั้งแผนกเงินทุนเอกชนซึ่งเป็นธุรกิจที่ปรึกษาด้านการลงทุนขึ้นมาด้วย ตรงจุดนี้เองจึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการดึงคนเข้ามาสู่หลุมพรางทางการลงทุนอย่างแท้จริง 

จากที่พี่ทุยได้เล่าเกี่ยวกับประวัติของ Madoff ให้ทุกคนได้อ่านกันไปแล้ว จะเห็นว่าภาพลักษณ์ของเขานั้นดูดีและมีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประชาชนถึงกล้าที่จะลงทุนกับเขาในเวลาต่อมา

อย่างหนึ่งก็เป็นเพราะภาพลักษณ์ทางธุรกิจและการเงินของเขาที่โดดเด่นและเชื่อถือได้ หลายคนจึงไม่ได้ระแวงเท่าไหร่ Madoff จึงใช้โอกาสนี้สร้างกำไรมูลค่ามหาศาลให้ตนเองผ่านการลวงลูกค้าที่มาปรึกษาในแผนกที่ปรึกษาด้านเงินทุนกับบริษัทของเขาให้มาลงทุนกับเขา โดยรับประกันว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูง และเขายังอ้างว่าเขาใช้เทคโนโลยีขั้นมีความเสี่ยงในการลงทุนที่ต่ำ  

เขาได้ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่าการแปลงแบบแยกส่วน (Split-strike conversion) ซึ่งเป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่เขาอ้างว่ามันถูกต้องตามกฎหมาย แต่จริง ๆ แล้ววิธีของเขาก็เป็นเพียงแค่การฝากเงินทุนของสมาชิกใหม่เข้ากับบัญชีของสมาชิกเดิม แล้วให้สมาชิกเดิมนั้นหาสมาชิกใหม่มาเรื่อย ๆ เพื่อที่จะได้ค่าตอบแทนมากขึ้น

โดยเขาอ้างว่าเขาจะให้ค่าตอบแทนสูงถึง 10-20% เลยทีเดียว โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามลักษณะของแชร์ลูกโซ่ ที่วนเวียนไม่มีจุดสิ้นสุด นับถอยหลังรอวันที่ความจริงกระจ่างเพียงเท่านั้น 

จุดสิ้นสุดของแชร์ลูกโซ่ของ Madoff 

แชร์ลูกโซ่ของ Madoff สามารถดำรงอยู่มาได้กว่า 20 ปี โดยที่แทบจะไม่มีใครระแคะระคายต่อความร่ำรวยของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาสร้างรายได้กว่าพันล้านในแต่ละปี นอกจากประชาชนทั่วไปที่หวังจะกอบโกยกำไรมหาศาลจากการลงทุนครั้งนี้ ก็ยังมีคนดังอีกมากมายที่ตกเป็นเหยื่อของเขา รวมถึงมูลนิธิต่าง ๆ ที่ให้ทุนแต่ไม่แสวงหาผลกำไรด้วย ทั้งหมดนี้ได้สร้างรายได้ให้กับ Madoff อยากมาก 

อย่างไรก็ตามถึงจุดหนึ่งความจริงก็เริ่มปรากฏ Harry Markopolos นักวิเคราะห์ทางการเงิน เขาเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรก ๆ ที่สงสัยที่มาที่ไปของเงินของ Madoff และพยายามเรียกร้องให้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตั้งแต่ปี 1999 ต่อมาในปี 2000 เขาได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ SEC (Securities and Exchange Commission) ให้ตรวจสอบ แต่กลับถูกเพิกเฉย 

Harry ชี้ให้เห็นคำอวดอ้างที่ว่าบริษัทของ Madoff สามารถทำเงินได้แม้ว่าดัชนี S&P (ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจภายในสหรัฐฯ) จะตกลงแค่ไหนก็ตาม เขามองว่าคำกล่าวนี้ไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก สอดคล้องไปกับที่เขาได้ไปตรวจสอบการเข้าออกของเงินของ Madoff แล้วพบว่า ณ เวลานั้น Madoff กำลังทำเรื่องยื่นขอสินเชื่อเป็นจำนวนมากจากธนาคารในยุโรป โดยเขามองว่าการขอสินเชื่อนี้ดูไม่จำเป็นเลย หากผลตอบแทนของ Madoff สูงอย่างที่เขากล่าวไว้

จากหลักฐานต่าง ๆ ที่ Harry ยกมาสนับสนุนความคิดของเขา ก็ทำให้หลายคนเริ่มตั้งข้อสังเกตความผิดปกติในครั้งนี้ ต่อมานั้นเองในปี 2005 SEC ได้ขอเอกสารเกี่ยวกับบัญชีการซื้อขายของ Madoff ในช่วงที่ผ่านมาเพื่อมาตรวจสอบ แต่ Madoff ก็ได้สร้างบัญชีขึ้นมาใหม่เพื่อให้หลุดข้อสงสัยดังกล่าว 

เรื่องทั้งหมดเริ่มชัดแจ้งขึ้น เมื่อปี 2008 เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ ดัชนี S&P 500 ลดลงถึง 39% ผู้คนแห่กันไปถอนเงินคืน แต่กลับไม่ได้รับเงินคืนแม้แต่บาทเดียว ทำให้ผู้คนเริ่มไม่พอใจและเรียกร้องให้ Madoff ออกมารับผิดชอบ 

สุดท้ายแล้วเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2008 Madoff ออกมาสารภาพกับลูก ๆ ของเขา Mark และ Andy Madoff ที่เป็นพนักงานระดับสูงที่บริษัทของเขาเอง ถึงการโกงครั้งใหญ่ที่เขาได้กระทำลงไป ในตอนแรกลูก ๆ ของเขาทั้งสองคนตามหาทนายความเพื่อที่จะมาช่วยพ่อของเขา แต่มันก็สายไปเสียแล้ว เรื่องทั้งหมดดำเนินมาถึงตอนจบที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ 

หลังจากที่เรื่องทุกอย่างถูกเผยแพร่ออกไป Bernard Madoff ก็ถูกจับเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2008 Madoff ยืนยันว่าเขาทำแต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ดีเมื่อเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนเบื้องลึกเบื้องหลัง เพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนก็ถูกส่งตัวในฐานะผู้ร่วมกระทำผิด รวมความเสียหายทั้งหมดที่ Madoff ได้สร้างขึ้นกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ 

เรื่องราวทั้งหมดจบลงด้วย Madoff ถูกตัดสินจำคุก 150 ปี และถูกริบทรัพย์สินแสนกว่าล้านดอลลาร์ ลูกชายคนโตของเขา Mark Madoff ฆ่าตัวตายสองปีให้หลังที่พ่อเขาถูกดำเนินคดี ท้ายที่สุดถึงแม้ว่าทนายความจะยื่นเรื่องขอให้ศาลประกันตัว Madoff ออกมาล่วงหน้าเนื่องจากโรคไตระยะสุดท้ายที่เขาเป็นอยู่ อาจทำให้อยู่ได้ไม่ถึง 18 เดือน แต่นั่นก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด Madoff ต้องติดคุกต่อไป

โดยคุกที่เขาอยู่คือ Butner Federal Correctional Institution ใน North Carolina ตลอดจนเมื่อวันที่ 14 เม.ย 2021 Madoff ได้เสียชีวิตลงในที่สุด นับเป็นการปิดฉากการลงทุนลวงโลกที่ยาวนานกว่าหลายทศวรรษของ Bernard Madoff ลงในที่สุด 

การลงทุนมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ

จากที่ได้ฟังเรื่องราวของ Madoff ไปแล้ว พี่ทุยพูดเลยว่า แผนตบตาคนทั้งโลกของ Madoff นั้นแยบยลจริง ๆ สามารถอยู่มาได้กว่า 20 ปี โดยที่ไม่มีใครสงสัยที่มาที่ไปของเงินของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นแชร์ลูกโซ่มันก็ยังเป็นแชร์ลูกโซ่อยู่วันยังค่ำ ต่อให้ฉากเบื้องหน้าจะดีแค่ไหน สุดท้ายจุดจบของแชร์ลูกโซ่ก็เหมือนกันทุกเคส 

พี่ทุยจึงอยากฝากทุกคนให้ตรวจสอบการลงทุนต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ผู้ลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนทุกครั้ง สุดท้ายแล้วไม่มีเงินหรือผลตอบแทนใดที่ได้มาง่ายดาย โดยที่เราไม่ทำอะไรเลยแน่นอน!

อ่านเพิ่ม

อ้างอิง

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile