[สรุปโพสต์เดียวจบ] "Ethereum" (ETH) อัปเกรดตัวเองครั้งใหญ่ มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ?

[สรุปโพสต์เดียวจบ] “Ethereum” (ETH) อัปเกรดตัวเองครั้งใหญ่ มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • วันที่ 5 ส.ค. 2564 Ethereum (ETH) ได้มีการอัปเกรดตัวเองครั้งใหญ่ที่เรียกว่าการทำ Hard Folk หรือ EIP-1559
  • EIP-1559 เข้ามาช่วยทำให้ค่าธรรมเนียมในภาพรวมเวลาทำธุรกรรมบน Ethereum (ETH) เสถียรมากขึ้น ผันผวนน้อยลง พร้อมค่าธรรมเนียมที่ถูกลง แต่อาจจะยังไม่ได้ถูกมากนักเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Binance (BNB)
  • อนาคต Ethereum (ETH) ยังมีการพัฒนาเรื่อย ๆ เป้าหมายถัดไป น่าจะเป็นปรับตัวเองจาก Proof of work เป็น Proof of Stake ที่อาจจะช่วยให้ค่าธรรมเนียมถูกลงจนสามารถแข่งขันกับคนอื่น ๆ ได้

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมาระบบของ “Ethereum” (ETH) ได้มีการอัปเกรตตัวเองหรือที่คนในวงการจะเรียกว่า EIP-1559 ก่อนจะไปลงลึกต่อว่าอะไรคือ EIP-1559 พี่ทุยอยากจะพาไปให้ที่มา ที่ไปของการอัปเกรดตัวเองในครั้งนี้ก่อน

Ethereum (ETH) เหรียญที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

ETH เป็นเชนที่ถือว่าได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอันหนึ่งเลย ทั้งในด้านมูลค่าของเหรียญและจำนวนการทำธุรกรรม แต่ต้องบอกก่อนว่าเดิมทีการทำงานของ ETH เวลาทำธุรกรรมจะใช้หลัก “การประมูล” ใครจ่ายค่าธุรกรรมแพงกว่าก็จะได้ทำธุรกรรมก่อน จะเรียกว่าเงินมางานเดิน เงินเกินงานไวก็ไม่มีผิด พอเป็นระบบการประมูลก็เลยทำให้ค่าธรรมเนียมหรือที่เรียกกันว่า Gas บางครั้งแพงจนน่าตกใจ

แล้วอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ใช้งานให้ความกังวลมาก คือ ค่าธรรมเนียมที่จ่ายทั้งหมดถูกนำไปให้นักขุด (Miner) หรือคนที่เป็นผู้ยืนยันธุรกรรม ซึ่งหลาย ๆ คนมองว่าการทำแบบนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับ ETH ในระยะยาวเพราะเงินไหลจากอีกคนไปสู่อีกคนเท่านั้น ไม่มีการเผา (Burn) เพื่อควบคุมปริมาณเหรียญหรือนำไปใช้ให้ก่อประโยชน์อื่น ๆ เลย ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีในระยะยาวต่อตัว ETH เอง

นอกจากนี้ก็ยังมีประเด็นในมุมของผู้ใช้งานที่เวลาจ่ายค่าธรรมเนียมไปตามปกติ แต่จะไม่มีทางรู้เลยว่าธุรกรรมนั้นจะเสร็จเมื่อไหร่และถึงมือผู้รับเมื่อไหร่ เพราะถ้าหากช่วงนั้นเกิดมีคนทำธุรกรรมพร้อมกันเยอะขึ้น ๆ มาการจ่ายตามปกติ ก็อาจจะล่าช้ามาก ๆ ได้

แต่ถ้ามีคนอื่นจ่ายแพงกว่า ธุรกรรมคนที่จ่ายแพงกว่าก็จะได้รับการทำธุรกรรมไปก่อน ด้วยปัญหาทั้งหมดนี้เลยเป็นที่มาที่ไปของสิ่งที่เรียกว่า EIP-1559

EIP-1559 ถูกสร้างมาเพื่อลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม

EIP-1559 หรือ Ethereum Improvement Proposal จุดประสงค์หลักเพื่อแก้ปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมให้ต่ำลง โดยจะเปลี่ยนจากระบบการประมูลเป็นการจ่ายธรรมเนียม 3 ส่วนแทน ได้แก่

1. Base Fee 

จะถูกตั้งจากทาง ETH และนำไปเผาทิ้งเพื่อควบคุมปริมาณเหรียญให้ในภาพรวมออกมาน้อยลง

2. Priority Fee 

เปรียบเสมือนกับค่าทิปที่เราให้กับทางนักขุด (Miner) ที่จะช่วยเร่งธุรกรรมของเราให้เร็วขึ้นได้ 

3. Max Fee 

เป็นขั้นสูงสุดในการจ่ายค่าธรรมเนียมในแต่ละช่วงเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูงมากเกินไป และป้องกันการทำธุรกรรมที่สูงมากเกินไปจนไม่สมเหตุสมผล

ซึ่งนอกจากโครงสร้างของค่าธรรมเนียมที่เปลี่ยนไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องของกลไลขนาดของ Block ในแต่ละ Block ด้วย การมาของ EIP-1559 จะช่วยทำให้ขนาด Block จะสามารถปรับเพิ่มขึ้นลงได้จากเดิมที่เป็นค่าคงที่

ในช่วงที่มีคนต้องการทำธุรกรรมจำนวนมากขนาดของ Block จะปรับตัวให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น พร้อมมีการปรับ Base Fee เพิ่มขึ้นครั้งละ 12.5% ซึ่งเมื่อค่าธรรมเนียมแพงขึ้น คนก็อยากทำธุรกรรมลดลงโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อจำนวนธุรกรรมลดลง ระบบก็จะทำการปรับลดขนาดของ Block พร้อมค่าธรรมเนียมในส่วน Base Fee ให้ลดลงมาตามเดิม

ซึ่ง EIP-1559 ช่วยทำให้ค่าธรรมเนียมมีความผันผวนที่น้อยลง มีทิศทางมากขึ้น แต่อาจจะไม่ได้ช่วยทำให้ค่าธรรมเนียมต่ำลงอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ

แล้วนักขุด (Miner) ได้รับผลกระทบอย่างไรจาก EIP-1559 ?

อีกหนึ่งประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันก็คือ อนาคตของนักขุด (ETH) จะเป็นอย่างไร เมื่อการเปลี่ยนจากเดิมที่นักขุดจะได้ Block Reward พร้อมกับ Gas Fee ไปทั้งหมด

แต่หลังจากการอัปเกรด EIP-1559 ครั้งนี้ Gas Fee จะถูกเปลี่ยนเป็น Priority Fee แทน ซึ่งขึ้นอยู่กับการให้ของผู้ใช้งาน แนวโน้มดูเหมือนว่านักขุดก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่น้อยลงอย่างแน่นอน ถ้าให้สรุปตอนนี้ว่าจะได้มากขึ้นหรือน้อยลง พีทุยว่าอาจจะยังไม่สามารถสรุปได้ ต้องรอดูว่าผู้ใช้งานยินดีจ่ายค่า Priority Fee มากน้อยขนาดไหนเพื่อให้ธุรกรรมของตัวเองสำเร็จเร็วมากขึ้น

โดยสรุปแล้ว EIP-1559 มีผลดีในระยะยาวมากกว่า แต่ในระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนด้านราคาเกิดขึ้นได้ทั้งในแง่ของผู้ใช้งานที่จะสามารถประเมินค่าธรรมเนียมก่อนทำธุรกรรมได้มากขึ้น รวมไปถึงปริมาณเหรียญที่ถูกปล่อยออกมาใช้แต่ปีละ คาดว่าน่าจะมีปริมาณที่ลดลง จากเดิมปีละประมาณ 4% เหลือเพียง 0.5 – 1% เท่านั้น เพราะเริ่มมีกลไกการเผาเหรียญ (Burn) เพิ่มเข้ามา

เสน่ห์ของคริปโทเคอร์เรนซีอย่างหนึ่ง ก็คือ มันสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่องแถมยังพัฒนาในอัตราเร่งที่เร็วมาก ๆ สำหรับ ETH พี่ทุยคิดว่าในอนาคตเราน่าจะได้เห็นการพัฒนาเรื่อย ๆ

ประเด็นที่น่าจะต้องติดตามกันต่อไปก็คือ ETH จะเปลี่ยนวิธีการยืนยันธุรกรรมจากเดิมที่เป็น Proof of Work เป็น Proof of Stake ได้หรือไม่ เพราะถ้าหากเปลี่ยนได้จริง เราอาจจะเห็นค่าธรรมเนียมที่ลดลงต่ำกว่านี้ได้อีกมากกว่าครึ่งแน่นอน แต่เรื่องนี้ก็ถือว่ายังเป็นที่ถกเถียงกันมาเป็นเวลานานและยังหาข้อสรุปไม่ได้

อ่านเพิ่มเติม

ดูคลิปใน Youtube เพิ่มเติม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile