ในช่วงปี 2021 อีกเหรียญนึงที่ถูกพูดถึงมาอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ “Cardano (ADA)” ซึ่งถ้าเราลองไปดูมูลค่าตลาดของเหรียญ ADA เองก็อยู่ติดอันดับ TOP10 ของตลาดมาอย่างต่อเนื่อง
“Cardano (ADA)” คืออะไร ?
Cardano หรือที่เราคุ้นชื่อกันว่า ADA คือ Blockchain Platform ที่สามารถสร้าง Smart Contract ได้ โดยจะมีเหรียญ ADA ที่เป็นเหรียญที่เอาไว้จ่ายค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
โดย Cardano ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2015 เป็น Blockchain Platform ที่สามารถสร้าง Smart Contract ได้เหมือนกับ Ethereum (ETH) โดยจะมีเหรียญ ADA เป็นเหรียญที่เอาไว้จ่ายค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมบน Cardano Blockchain
แต่จะแตกต่างกันกับ ETH ตรงที่ ADA ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการขยายตัวที่รวดเร็ว (Scalability) ความสามารถในการทำงานร่วมกัน (Interoperability) และความยั่งยืน (Sustainability) ที่ ETH ไม่สามารถทำได้ ซึ่งเป็นที่มาของค่าธรรมเนียม (Gas) ที่แพงอย่างมากในปัจจุบัน
หลักการเบื้องหลังที่ Cardano ใช้ในการยืนยันการทำธุรกรรมก็คือ Proof of Stake (POS) จากเดิมที่ ETH จะใช้หลักการที่เรียกว่า Proof of Work (POW) หรือแปลง่าย ๆ ว่า Cardano ทำทุกอย่างได้เหมือนกับ ETH แต่เร็วกว่าและถูกกว่านั่นเอง ทำให้ ณ ปัจจุบันตอนนี้ทาง ETH กำลังจะแก้ไขปัญหาในจุดนี้ โดยการเปิดให้สามารถทำ Proof of Stake ได้ด้วยเช่นกัน หรือที่ถูกเรียกว่า ETH 2.0 ซึ่งประเด็นนี้ เราต้องติดตามกันต่อไปว่า เมื่อ ETH อัปเกรดตัวเองเป็น ETH 2.0 แล้ว เรื่องประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไร
Charles Hoskinson เจ้าของ Cardano ชี้ชัดว่ายังไงก็ยังดีกว่า ETH 2.0 แน่นอน
จากที่พี่ทุยลองฟังที่สรุปเป็นภาพให้เห็นง่าย ๆ ก็คือ Cardano เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกผลิตมาเป็นรถไฟฟ้าตั้งแต่แรก แถมยังมีที่ชาร์จเตรียมพร้อมให้ตลอดการเดินทาง
แต่ ETH เหมือนรถยนต์พลังงานสันดาปที่เป็นเครื่องยนต์ปกติ จะเปลี่ยนให้เป็นใช้ไฟฟ้าทันทีมันเป็นไปไม่ได้ ที่ชาร์จไฟก็ไม่มี หรือถ้ามีก็มีน้อย ไหนจะนักพัฒนาที่อยู่บนระบบเดิมอย่าง Proof of work มาตลอด การย้ายมาเป็น Proof of stake นั้นมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะถ้าจะเปลี่ยนจำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งระบบนิเวศน์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ไม่ใช่เปลี่ยนเพียงแค่ปลายทางเท่านั้น
ณ ปัจจุบัน Cardano เหมือนห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ที่เทคโนโลยีดี แต่ยังไม่มีร้านค้ามาเช่าพื้นที่
ณ ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า Cardano ก็ยังไม่มีผู้พัฒนาเข้าไปพัฒนา Platform หรือง่าย ๆ ก็เหมือนกับห้างสรรพสินค้าที่มีเทคโนโลยีทันสมัย มีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้อย่างดี สะอาด สะดวกสบาย สามารถเข้าถึงได้ง่าย แต่ยังไม่มีร้านค้ามาเช่าพื้นที่เพื่อเปิดร้านสักเท่าไหร่ ทำให้ยังดูเป็นห้างที่ร้าง แต่ในมุมของนักลงทุนต่าง ๆ เองก็มองว่าระบบดี ห้างดี อีกไม่นานก็น่าจะสามารถดึงดูดร้านค้าเป็นจำนวนมากได้เอง
อ่านเพิ่มเติม
- รู้จัก “DeFi100” ระบบฟาร์ม Crypto ที่เชิดเงินไปเกือบ 1,000 ล้านบาท
- “Whitepaper” คืออะไร ? – ทำไมนักลงทุนควรอ่านก่อนลงทุน Cryptocurrency
ฟัง Podcast เพิ่มเติม