นับแต่โลกรู้จักกับ AI ครั้งแรกเมื่อตอน OpenAI เปิดตัว ChatGPT ราคาหุ้นเทคโนโลยีต่างปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า แต่มีหนึ่งในบริษัทเหล่านั้นที่ร้อนแรงขั้นสุด นั่นก็คือ NVIDIA ซึ่งทุกวันนี้มีมูลค่าบริษัท 3.01 ล้านล้านดอลลาร์ แซง Apple ขึ้นแท่นบริษัทที่มูลค่าสูงที่สุดอันดับ 2 ของโลกแล้ว แถมราคา หุ้น NVIDIA ก็พุ่งแรง +141.73% ตั้งแต่ต้นปี จากช่วง ม.ค. 2024 ยังอยู่แถวราคาหุ้นแค่ 500 ดอลลาร์ แต่เข้า มิ.ย. 2024 รามาอยู่ที่ 1,160 ดอลลาร์แล้ว
วันนี้พี่ทุยขอพาไปส่องทุกซอกทุกมุมของ NVIDIA ว่าพุ่งขึ้นมาขนาดนี้ได้อย่างไร แล้วถ้าอยากลงทุนตอนนี้ยังน่าสนใจหรือไม่?
จุดกำเนิด หุ้น NVIDIA ทำธุรกิจยังไง ถึงปังขนาดนี้
ปี 1993 ณ Denny’s ร้านอาหารในซิลิคอนแวลลีย์อันเป็นสถานที่ที่ 3 วิศวกร ประกอบด้วย Jensen Huang, Chris Malachowsky และ Curtis Priem ซึ่งต่างเห็นโอกาสจากการที่คอมพิวเตอร์กำลังเป็นของใช้ในทุกครัวเรือน ได้มาพบกันเพื่อก่อตั้ง NVIDIA โดยรับเงินทุนจาก Venture Capital ที่ชื่อ Sequoia Capital
ในยุคนั้นเกมคอมพิวเตอร์กำลังเริ่มแพร่หลาย แต่คุณภาพกราฟิกยังต่ำมาก การแสดงผลภาพเกมส์ยังไม่สวย NVIDIA จึงโฟกัสไปที่การพัฒนาชิปสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพกราฟฟิค ในปี 1995 เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกชื่อ NV1 ชิปเพิ่มประสิทธิภาพกราฟฟิค 2 มิติและ 3 มิติ ตัวแรกของโลก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยปัญหาต้นทุนและคุณภาพโดยรวม
ผลงานที่นำชื่อ NVIDIA ไปปักไว้ในวงการเทคโนโลยี คือ GeForce 256 ชิป GPU หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าการ์ดจอ ที่เปิดตัวในปี 1999 แสดงผลภาพ 3 มิติ งานแสงและเงาเหนือคู่แข่ง ไม่เพียงแต่ถูกใช้กับการประมวลภาพเกมส์เท่านั้น แต่ยังใช้ใน CAD โปรแกรมออกแบบ 3 มิติ และโปรแกรมทางวิทยาศาสตร์
วันที่ 22 ม.ค. 1999 NVIDIA เข้าจดทะเบียน IPO ในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ที่ราคา 12 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ช่วงปี 2000 NVIDIA ก้าวกระโดดอีกครั้ง พา GPU เข้ามามีบทบาทในวงการเกมส์ด้วยการผลิตชิปให้กับ Xbox ของ Microsoft รวมไปถึง Playstation 3 จากนั้นขยายธุรกิจบุก smartphone และ tablet ด้วยชิป system-on-a-chip (SoC) ที่รวมการประมวลผลทุกอย่างไว้ในที่เดียว
และแล้วชิป GPU ก็ถูกใช้ในวงการ High-Performance Computing (HPC) หรือ Data Center ที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ทำให้ NVIDIA ได้เปิดตลาดใหม่ที่มีมูลค่าสูงมาก ฝั่ง NVIDIA ก็ชิงความได้เปรียบพัฒนาชิปและ ecosystem ตอบโจทย์การใช้งาน ทิ้งห่างคู่แข่ง ซึ่งต่อยอดไปสู่การพัฒนาชิปสำหรับวงการ Deep learning และ AI
การขยายธุรกิจไล่เรียงตั้งแต่วงการเกมส์สู่ HPC และทุกวันนี้กับ AI ก็ยังใช้ผลิตภัณฑ์ตัวเดิมก็คือ GPU เพียงแต่ด้วยพลังการประมวลผลที่มหาศาล (เหนือกว่า CPU) ทำให้สามารถเปลี่ยนวัตถุประสงค์การใช้งานได้หลากหลาย ซึ่งเห็นตัวอย่างได้จากการใช้การ์ดจอ NVIDIA สำหรับเล่นเกมไปขุดเหรียญคริปโต
ถ้าย้อนไปตอนปี 1993 ก็คงไม่มีใครคิดว่าการเลือกเดินเส้นทางชิปประมวลผลภาพสำหรับคอมพิวเตอร์จะนำพาบริษัทไปคว้าโอกาสจากวงการอื่นได้มากมายขนาดนี้
GPU เทคโนโลยีวงการเกม สู่ชิปแห่งอนาคตใช้ครอบจักรวาล
การเริ่มต้นผลิต GPU สำหรับวงการเกม แต่วันหนึ่งกลับถูกใช้ได้หลายวงการโดยเฉพาะ HPC และ AI เพราะ GPU ประมวลผลข้อมูลแบบ Parallel หรือทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ต่างจาก CPU ที่ทำที่ละงาน ถ้าอยากให้ทำงานหลายงานก็ต้องเพิ่ม Core ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
เช่น ภาพแต่ละซีนในเกม 3 มิติ ต้องประมวลผลทุกจุดพิกเซลในซีนไปพร้อมกัน และทำซ้ำไปแบบเดิมในซีนต่อไป
คุณสมบัตินี้ทำให้ GPU ถูกใช้มากกว่า CPU เพราะ HPC, Deep learning และ AI มีขั้นตอนการประมวลผลไม่ซับซ้อน แต่มีข้อมูลจำนวนมาก ประมวลผลเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ลองผิดลองถูก และต้องเร็วเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ก่อนคู่แข่ง หรือก็คือ ใส่ข้อมูลเข้าไป ประมวลผลได้คำตอบมหาศาล ถ้ายังไม่ดีพอ ก็ใส่ข้อมูลใหม่เข้าไป แล้วประมวลผลอีกรอบ วนซ้ำอย่างรวดเร็วจนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ
ในอนาคตโลกยิ่งเข้าสู่ยุคของข้อมูลจำนวนมากขึ้น ยิ่งเปิดโอกาสให้ชิป GPU ของ NVIDIA ได้ก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมใหม่ได้อีก
ช่วงยุค 2000 ด้วยโอกาสที่เปิดกว้างและความต้องการชิป GPU กำลังพุ่งสูง คู่แข่งต่างเดินหน้าเข้าสู่ตลาดชิป GPU แต่ NVIDIA มองหาทางเพิ่มประสิทธิภาพชิป GPU ของตัวเองด้วยการเปิดตัว CUDA ในปี 2007 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มภาษาสำหรับสั่งให้ชิป GPU ของ NVIDIA ทำอะไร เพื่อยกระดับการประมวลผลให้ตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะ
CUDA ช่วยซัพพอร์ต Developer ดีกว่าคู่แข่ง และยิ่งใช้ไปนานมากแค่ไหน ยิ่งเปลี่ยนไปใช้ค่ายอื่นยาก เลยกลายเป็น Ecosystem เพิ่มความแข็งแกร่งให้ธุรกิจของ NVIDIA ไปพร้อมกันด้วย
หุ้น NVIDIA มีรายได้จากอะไรบ้าง
ไตรมาส 1/2024 มีรายได้ 26,044 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 262% กำไรสุทธิ 14,881 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 628% มาจาก 5 ธุรกิจประกอบด้วย
- Data Center 86.63%
- Gaming 10.16%
- Professional Visualization 1.63%
- Automotive 1.26%
- อื่นๆ 0.32%
ในไตรมาส 1/2024 รายได้ธุรกิจ Data Center เติบโตถึง 427% จากการพัฒนา AI ส่วนธุรกิจ Gaming เติบโต 18% ซึ่งไตรมาสแรกเป็นช่วงที่ยอดขาย GPU สำหรับ Laptop ลดลง
ด้านธุรกิจ Professional Visualization เติบโต 45% และธุรกิจ Automotive เติบโต 11% ซึ่ง NVIDIA ผลิตชิปสำหรับรองรับการแสดงผลหน้าจอและขับขี่อัตโนมัติมีค่ายรถ EV จีนเป็นลูกค้าหลัก
รายได้และกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ปี ของ NVIDIA มีดังนี้
- ปี 2023 รายได้ 60,920 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 29,760 ล้านดอลลาร์
- ปี 2022 รายได้ 26,970 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 4,370 ล้านดอลลาร์
- ส่วนปี 2021 รายได้ 26,910 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 9,750 ล้านดอลลาร์
- ปี 2020 รายได้ 16,680 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 4,330 ล้านดอลลาร์
เมื่อปี 2019 ก่อนหน้า OpenAI เปิดตัว ChatGPT รายได้ธุรกิจ Data Center ยังมีสัดส่วนเพียง 21.8% ธุรกิจ Gaming มีสัดส่วนรายได้มากที่สุดถึง 53.6% แต่ทุกวันนี้ก้าวขึ้นมาเป็นธุรกิจหลัก ทำรายได้ทิ้งห่างธุรกิจ Gaming ชัดเจน และมีแนวโน้มจะทิ้งห่างมากขึ้นไปอีก
สะท้อนให้เห็นว่าทั้งผลิตภัณฑ์ GPU มีฟังก์ชั่นหลากหลายและ NVIDIA มีความพร้อมกับสิ่งใหม่เสมอ ทำให้ก้าวผ่านวัฏจักรธุรกิจและคว้าโอกาสจากนวัตกรรมใหม่อยู่เสมอ
ธุรกิจ AI ที่ NVIDIA ไม่ได้เพิ่งเริ่มสร้าง ฉีกหนีคู่แข่งไปไกล
ปี 2016 กระแส AI กำลังมาด้วย ALPHAGO แข่งหมากล้อมชนะมือวางอันดับ 1 ของโลก ทำให้การใช้ GPU ใน Data Center สำหรับ AI เพิ่มขึ้น ซึ่ง NVIDIA ก็ไม่พลาดเกาะกระแสนี้เช่นกัน จัดการพัฒนา GPU ที่ใช้กับ AI โดยเฉพาะ และมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Microsoft, Alphabet เป็นลูกค้า
NVIDIA ได้ประโยชน์จากทั้งยอดขายจากความต้องการตลาดที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรที่สูงกว่า GPU สำหรับ Gaming ด้วยประสิทธิภาพพิเศษสำหรับ AI
ยังมี CUDA ให้ Developer เขียนโปรแกรมใช้กับ GPU โดยเฉพาะ จนไม่อยากหนีไปใช้ GPU ของค่ายอื่น นอกจากนี้ NVIDIA มีคอมมูนิตี้ให้ Developer เข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่ง NVIDIA ก็เอาข้อมูลทั้งปัญหาการใช้งานและความรู้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ด้วย
ปัจจุบัน NVIDIA นำหน้าคู่แข่งในด้าน GPU สำหรับ AI ไปไกลมาก มีผลิตภัณฑ์หลักอย่าง H200, H100 และ A100 ล่าสุดเปิดตัว GPU รุ่น B200 ชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในตลาด ประมวลผลได้ดีกว่า H100 แต่ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่า
ฝั่ง Jensen Huang ที่นั่งตำแหน่ง CEO ของ NVIDIA เผยเตรียมปล่อยแพลตฟอร์มชิปตระกูล Rubin ที่มีทั้ง GPU และ CPU ในปี 2026 และตั้งเป้าออกชิป AI ใหม่ทุกปี จากก่อนหน้าเคยออกใหม่ทุก 2 ปี
ความเสี่ยง หุ้น NVIDIA จะเข้าซื้อได้ไหม เสี่ยงดอย?
ความเสี่ยงหลักของ NVIDIA คือคู่แข่งในตลาด GPU สำหรับ AI แต่คู่แข่งไม่ใช่บริษัทที่แข่งขันสร้างชิปกันมาตลอด แต่เป็นลูกค้าที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งเดิมทุกเจ้าต่างใช้ชิปจาก NVIDIA แต่เมื่อเทคโนโลยี AI เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทเทคโนโลยีเหล่านั้นจึงเริ่มพัฒนาชิปกันเองเพื่อตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะของบริษัท
เช่น Google พัฒนา Tensor Processing Unit เพื่อใช้กับซอฟต์แวร์พัฒนา AI ที่ชื่อ Tensorflow แม้จะประมวลผลเร็วกว่า GPU อื่นมาก แต่ใช้ได้แค่กับซอฟต์แวร์ Tensorflow ของ Google เท่านั้น
ส่วน Tesla ก็เริ่มเปลี่ยนจากชิป NVIDIA ไปใช้ชิปที่พัฒนาเอง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ Autonomous Vehicle โดยเฉพาะ แถมยังทำงานกับซอฟต์แวร์และระบบของรถได้อย่างเนียนตา
และแม้ว่า NVIDIA จะผูกขาดตลาด AI และทิ้งห่างคู่แข่งมาก แต่บริษัทกลุ่มชิปเป็นธุรกิจความต้องการจากลูกค้าเป็นวัฏจักร คำสั่งซื้อจาก Data Center แต่ละล็อตห่างกันเป็นปี ส่วนยอดขาย Smartphone และคอมพิวเตอร์ก็เป็นรอบเหมือนกัน ดังนั้นอาจมีบางช่วงที่รายได้และกำไรเติบโตลดลง ในขณะที่ความคาดหวังยังสูง ทำให้ราคาหุ้นอาจปรับตัวลงแรง
รอบขาขึ้นรอบนี้ราคาหุ้น NVIDIA ปรับฐานประมาณ 15-20% อย่างน้อย 3 ครั้ง และย้อนไป 6 ปี มีร่วงมากกว่า 50% มาแล้วอีก 3 ครั้ง
ยอมรับว่า NVIDIA เป็นบริษัทที่พื้นฐานดีมาก แต่ถ้าจะซื้อตอนนี้ความคาดหวังจากนักลงทุนสูงมาก คงต้องมองระยะยาวและเตรียมใจไว้เผื่อกรณีราคาหุ้นร่วงปรับฐานหรือร่วงครั้งใหญ่ไว้เหมือนกัน
อ่านเพิ่ม