เลือกตั้งสหรัฐ 2020

สรุปผลการ “เลือกตั้งสหรัฐฯ” 2020 ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับยังไงบ้าง

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • โจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตสามารถคว้าคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) เกิน 270 เสียงไปได้ เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ
  • ไบเดนมีท่าทีที่ไม่แข็งกร้าวเท่าทรัมป์เมื่อต้องรับมือกับการค้าระหว่างประเทศ และเตรียมจะสนับสนุนพลังงานสะอาด แตกต่างจากทรัมป์ที่ไม่เชื่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดอยู่ในช่วงขาขึ้นนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลโพลส่วนใหญ่ชี้ไปทางไบเดนจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ สวนทางกับกลุ่มพลังงานฟอสซิลที่จะได้ประโยชน์หากทรัมป์เป็นผู้ชนะ 

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

“เลือกตั้งสหรัฐฯ” 2020 ไบเดนคว้าเก้าอี้ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ

การลงคะแนนเสียง “เลือกตั้งสหรัฐฯ” ในครั้งนี้เป็นไปในรูปแบบ New Normal เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้จำนวนการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์นั้นสูงเป็นประวัติการณ์ และทำให้การนับคะแนนต้องล่วงเลยมาจนถึงเช้าวันใหม่ โดยยิ่งคะแนนสูสีกันมากเท่าไร การประกาศว่าใครเป็นผู้ชนะ ย่อมยากมากเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผลนับคะแนนจากไปรษณีย์ที่เทเข้ามาทีหลังส่งให้โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีคู่บุญของบารัก โอบามา และตัวแทนจากพรรคเดโมแครต มีชัยเหนือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันไปด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral college) ที่เกินเส้นชัย 270 เสียง 

ในการลงคะแนนเสียงครั้งนี้ รีพับลิกันยังคงทำได้ดีในรัฐแดงอย่าง Texas โดยแม้ผลโพลก่อนการ “เลือกตั้งสหรัฐฯ” จะให้ Texas เป็นรัฐ “Swing States” หรือรัฐที่ไม่มีใครคาดเดาว่าใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ทรัมป์ก็สามารถคว้าชัยในรัฐที่มีเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 38 เสียงไปได้ และยังชนะรัฐ Swing States ส่วนใหญ่ในช่วงแรกของการนับคะแนนไปได้ด้วย 

อย่างไรก็ตาม รัฐที่ส่งให้โจไบเดนชนะการเลือกตั้งกลับเป็น Michigan ที่มีคะแนน 16 เสียง และ Wisconsin ที่มีคะแนน 10 เสียง ที่พลิกขึ้นนำในโค้งสุดท้าย ก่อนที่การนับคะแนนในรัฐใหญ่อย่าง Pensylvania ซึ่งมีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 20 เสียง จะส่งให้ไบเดนมีคะแนนเกิน 270 เสียง โดยทั้ง 3 รัฐที่ว่านี้ ต่างเป็นรัฐที่เคยเลือกทรัมป์เมื่อปี 2016 ด้วยกันทั้งสิ้น 

พี่ทุยคิดว่า กว่าสหรัฐฯจะมีประธานาธิบดีเป็นที่แน่นอนแล้ว ก็ต้องรอการสาบานตนรับตำแหน่งในเดือนม.ค.ปีหน้า เพราะทรัมป์ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ และต้องการที่จะฟ้องร้องการเลือกตั้งครั้งนี้เพราะเห็นว่าการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทางไปรษณีย์มีช่องโหว่ที่ทำให้ตัวเองแพ้ 

ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เตรียมตัวเอาไว้ก่อนไม่ใช่เรื่องเสียหาย เราไปดูนโยบายของไบเดนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นกันดีกว่า

ไบเดนมีนโยบายอะไรบ้าง ?

ในช่วงสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นโยบาย “อเมริกามาก่อน” (America First) เป็นฉนวนทำให้เกิดสงครามการค้ากับจีน ส่งผลให้จีนและสหรัฐฯตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กันไปมาจนเกิดความระส่ำระส่ายไปทั่วโลก 

ไม่ใช่แค่กับจีนที่สหรัฐฯก่อสงครามการค้าด้วย แต่ยังรวมไปถึงยุโรป โดยเกิดข้อพิพาทกรณีใหญ่ ๆ ขึ้นกับสองยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตเครื่องบินของโลก ได้แก่ แอร์บัสของยุโรปและโบอิ้งของสหรัฐฯ ที่ต่างกล่าวหาว่ารัฐบาลอีกฝ่ายให้การอุดหนุนผู้ผลิตจนทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมขึ้น ส่งผลให้องค์กรการค้าโลกหรือ WTO พยายามเข้ามายุติข้อขัดแย้งด้วยการไฟเขียวให้ทั้งสองฝ่ายตั้งกำแพงภาษีนำเข้าตอบโต้ได้ในวงเงินที่จำกัด

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องรับมือกับการค้าระหว่างประเทศ ไบเดนมีท่าทีที่ “อ่อนกว่า” ทรัมป์ โดยไบเดนประกาศที่จะยุติสงครามการค้ากับยุโรป และจะปรึกษากับ “พันธมิตร” ของสหรัฐฯในเรื่องการยุติการตั้งกำแพงภาษีกับจีน รวมถึงเตรียมที่รวบรวมพันธมิตรของสหรัฐขึ้นมาใหม่เพื่อคานอำนาจทางการค้ากับจีน

นโยบายของไบเดนฟังดูคล้ายกับสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา โดยโอบามาได้ผลักดันโครงการค้าเสรีระดับมหึมาของสหรัฐฯกับประเทศในแถบเอเชีย (ยกเว้นจีน) และแปซิฟิก หรือที่รู้จักกันในนามของ TPP โดยโครงการนี้ โอบามาบอกชัดเจนว่าต้องการใช้ใช้คานอำนาจกับจีน ก่อนที่ทรัมป์จะยกเลิกการให้สหรัฐฯเป็นสมาชิก TPP ไปในสมัยของตัวเอง 

ทว่า ดูเหมือนไบเดนจะไม่ได้สนับสนุนการค้าเสรีในระดับเดียวกันนั้นในตอนนี้ เนื่องจากนโยบายหลักที่ไบเดนต้องดำเนินก่อนเป็นอันดับแรก คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่ระส่ำระส่ายจากการระบาดของโควิด-19 และให้การสนับสนุนชาวอเมริกัน โดยเฉพาะด้านนวัตกรรมที่เตรียมจะให้วงเงินสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ไบเดนวางแผนที่จะสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานสะอาด โดยหวังว่า การสนับสนุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มดีมานด์ให้กับสินค้า วัสดุ และภาคบริการของอเมริกัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มการลงทุนในแผ่นดินสหรัฐฯและกับชาวอเมริกันได้ถึง 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ในด้านที่ตรงกันข้ามกับทรัมป์ที่ต้องการลดภาษีทั้งรายได้บุคคลธรรมดาและบริษัท ไบเดนกลับต้องการขึ้นภาษี ทั้งภาษีเงินได้ในอัตราสูงสุดให้กลับไปในระดับเดิมที่ 39.6% หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรับลดลงมาเหลือ 37% ขณะที่ขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% 

นอกจากนี้ ไบเดนยังมีท่าทีจริงจังในการจัดการบริษัทที่หนีภาษีด้วยการตั้งบริษัทลูกในประเทศที่มีอัตราภาษีถูกด้วยการประกาศว่าจะคว่ำบาตรประเทศเหล่านั้น รวมถึงขึ้นภาษีกับบริษัทต่างชาติที่มีบริษัทลูกอยู่ในสหรัฐฯเป็น 21% ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวเลยทีเดียว พี่ทุยว่าเรื่องนี้ เราก็คงต้องจับตามองเหมือนกันว่าตลาดจะให้ผลตอบรับแบบไหน

นอกเหนือจากเรื่องดังกล่าว ไบเดนยังมีท่าทีที่ตรงข้ามกับทรัมป์อย่างสิ้นเชิงในการจัดการกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยไบเดนได้มีแผนวงเงิน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการลงทุนพลังงานสะอาดและอื่น ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050 รวมถึงเตรียมพาสหรัฐฯกลับเข้าร่วมสนธิสัญญาแก้ไขสภาพภูมิอากาศปารีสที่ทรัมป์เป็นคนพาสหรัฐฯออกจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศดังกล่าว 

หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์เคลื่อนไหวอย่างไร ?

เนื่องจากไบเดนมีโนยบายที่จะสนับสนุนพลังงานสะอาด ซึ่งแตกต่างกับทรัมป์อย่างชัดเจน ทำให้หุ้นของกลุ่มพลังงานสะอาดได้ความสนใจนับตั้งแต่ผลโพลออกมาข้างไบเดนในช่วงกลางปีนี้ ซึ่ง iShare Global Clean Energy ETF (ICLN) ที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของหุ้นพลังงานสะอาดทั่วโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 70% เมื่อช่วงปลายเดือนก.ย.จนถึงต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา หากเทียบกับช่วงต้นปี 

ราคาของ ICLN ปรับขึ้น 1.2% ในวันที่ 3 พ.ย. ก่อนเปิดตัวติดลบในวันที่ 4 พ.ย. เนื่องจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งที่สูสีกันมาก โดยปิดตลาดไปในวันที่ 4 พ.ย.ด้วยราคา 19.89 ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วพุ่งขึ้นอย่างแรงในช่วงวันที่ 5-6 พ.ย. ปิดตัวในวันศุกร์ที่ผ่านมาด้วยราคา 21.45 ดอลลาร์สหรัฐฯ

บรรดาบริษัทพลังงานทางเลือกต่างมีความเคลื่อนไหวไปในลักษณะเดียวกัน เช่น บริษัท First Solar ที่ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ มีหุ้นในตลาด Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเดือนพ.ค. เป็น 87.24 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 3 พ.ย. และซื้อขายในระดับใกล้เคียงกันนี้ในช่วงที่ผลการเลือกตั้งเริ่มชัดเจนขึ้น พร้อมกับพุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมาด้วย 

พี่ทุยว่าต้องรอวันเปิดตลาดวันจันทร์นี้ เพื่อจับตาความเคลื่อนไหวของหุ้นเหล่านี้ให้ดี แต่นอกเหนือจากหุ้นกลุ่มพลังงานแล้ว ยังมีหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการมาของโจ ไบเดน อยู่อีก

ด้วยท่าทีที่อ่อนกว่าเมื่อต้องรับมือกับการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ “จีน” ทำให้หุ้นของบรรดาบริษัทที่มีซัพพลายเชนอยู่ในประเทศจีนมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากชัยชนะของไบเดนด้วยเช่นกัน โดยซีอีโอของ 3M ผู้ผลิต Post-it และ Procter & Gamble ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ต่างเคยกล่าวในลักษณะเดียวกันว่าการทำสงครามการค้ากระทบต่อธุรกิจ 

หุ้นของ 3M อยู่ในช่วงขาขึ้นตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา โดยปรับขึ้นจากระดับต่ำกว่า 140 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนพ.ค. มาอยู่ที่ 163.96 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วย่อตัวลงเล็กน้อย และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นในการซื้อขายล่วงหน้า ส่วน P&G หุ้นขึ้นจากราว 115 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 142.75 ระหว่างการซื้อขายวันเดียวกัน และปิดตัวในแดนบวกที่ 143.23 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสิ้นสัปดาห์ก่อน

หุ้นกลุ่มไหนเสียประโยชน์ ?

ในเมื่อมีหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากไบเดนแล้ว ก็ต้องมีหุ้นกลุ่มที่เตรียมจะเสียประโยชน์หรือได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่เนื่องจากความพ่ายแพ้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อยู่

ความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดสวนทางกับ S&P Energy หุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้จะประโยชน์หากทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานฟอสซิลตกลงไปเกือบ 50% ก่อนการเลือกตั้งเมื่อเทียบกับตัวเลขเมื่อช่วงต้นปี และปรับลดลงไปเกือบ 1% ในวันที่ประชาชนตบเท้าเข้าคูหา ก่อนที่จะร่วงอีก 2.14% เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังมีความชัดเจนมากขึ้นว่าทรัมป์จะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้

ในดัชนี S&P Energy มีบริษัทพลังงานที่รู้จักกันดีอย่าง Exxon โดยหุ้นของ Exxon ปรับลงอย่างมากเกือบ 2% ไปปิดตลาดวันที่ 3 พ.ย.ที่ 33.41 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนฟื้นตัวและร่วงลงอีกปิดตลาดในแดนลบเกือบ 2% เมื่อวันที่ 6 พ.ย. เช่นเดียวกับอีกบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง Chevron ที่ปรับลดลงไปราว 1.37% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ ไบเดนยังมาจากพรรคเดโมแครตที่มีท่าทีในการควบคุมและกำกับดูแลภาคส่วนธนาคาร ต่างกับทรัมป์ที่เป็นผู้ยกเลิกกฎหมาย Dodd-Frank ไปเมื่อปี 2018 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ธนาคารเข้าไปลงทุนเสี่ยงจากบทเรียนในวิกฤตการณ์การเงินปี 2008 

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในการกำกับดูแลธนาคารที่เข้มข้นมากขึ้นนี้ยังคงไม่เป็นที่น่ากังวลของนักลงทุนมากนัก

จากดัชนี S&P Bank พบว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเฉลี่ยปรับตัวลงเล็กน้อย 0.8% เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา โดย JP Morgan ปรับลงมากหน่อยที่ 1.3% แม้จะสามารถฟื้นตัวได้เล็กน้อยก่อนการปิดตลาด ขณะที่ Goldman Sachs ปรับลงประมาณ 0.8% ส่วนหุ้นของ Deutsche Bank ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดยุโรปและประกาศจะตัดความสัมพันธ์กับทรัมป์ปิดตลาดสัปดาห์ก่อนที่ 8.5 ยูโรอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตอนปิดตลาดเมื่อวันที่ 3 พ.ย.

นอกเหนือจากการติดตามผู้ชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้แล้ว ไบเดนจะทำงานยากหรือง่ายนั้นขึ้นอยู่กับการครองสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาด้วย โดยในปัจจุบันการแข่งขันเพื่อชิงที่นั่งในสภาสูงและล่างนี้ระหว่างเดโมแครตและรีพับลิกัน ยังคงเป็นไปอย่างสูสี 

ในปัจจุบัน จากการประเมินของ CNN พบว่า สมาชิกผู้แทนราษฎรของเดโมแครตเสียที่นั่งให้กับรีพับลิกันไปแล้ว 7 ที่นั่ง แม้จะสามารถคว้าชัยในดินแดนที่เคยเป็นของรีพับลิกันมาได้ 2 ที่นั่งก็ตาม โดยจำนวนที่นั่งในปัจจุบันที่มีการประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการแล้วอยู่ที่เดโมแครต 211 ที่นั่ง และรีพับลิกัน 198 ที่นั่ง ซึ่งจะครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาได้ต้องมีอย่างน้อย 218 ที่นั่ง 

ขณะเดียวกัน สภาสูงเองก็ยังไม่มีพรรคใดถึง 50 เสียง และยังคงสูสีในจำนวนที่นั่งเท่า ๆ กันอยู่ในปัจจุบัน 

ไบเดนจะทำงานง่ายหรือยาก ขึ้นอยู่กับการครองสภาคองเกรสด้วย พี่ทุยว่ายังต้องตามดูกันต่อไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply