วันนี้พี่ทุยจะพาทุกคนมารู้จักกับอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจ บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD (ชื่อหุ้น SJWD) หนึ่งในผู้นำด้านผู้ให้บริการ “โลจิสติกส์ครบวงจร”
SCGJWD เห็นโอกาสอะไรในธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น (Cold Chain) และ 4 กลยุทธ์หลักเพื่อลุยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศจะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://investor.scgjwd.com/th/home
SCGJWD เกิดจากการควบรวมระหว่าง SCG Logistics Management Co., Ltd. (SCGL) และ JWD InfoLogistics Public Company Limited (JWD) ทำให้เกิดกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการให้บริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจร ทั้งการขนส่งและการจัดการคลังสินค้าหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการบริหารจัดการด้านห่วงโซ่อุปทานครบวงจร (Supply Chain) ทั้งในประเทศและระดับอาเซียน
การควบรวมครั้งนี้ทำให้ เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี เป็นหนึ่งในบริษัทโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย และสามารถใช้จุดแข็งและเครือข่ายของ SCGL และ JWD เพื่อขยายธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการควบรวมครั้งนี้ยังเกิด Synergy ที่น่าสนใจในหลายแง่มุม โดยเฉพาะการเข้าซื้อกิจการและเพิ่มอำนาจในการเจรจาต่อรอง ตัวอย่างเช่น การเข้าซื้อหุ้นในบริษัท SWIFT และ ANI ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยต่อยอดการให้บริการของบริษัทให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ณ ปัจจุบัน (ปี 2567) ข้อมูลจากงบไตรมาส 2/2567 ระบุว่า SCGJWD มีรายได้รวม 12,130.7 ล้านบาท โดย 88.4% ของรายได้มาจากธุรกิจ Logistic & Supply Chain และที่เหลือจากธุรกิจอื่น ๆ
เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี เห็นโอกาสในธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น (Cold Chain) สำหรับสินค้าควบคุมความเย็นในประเทศไทย โดยปัจจุบัน เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดีเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 มีบริการใน 8 พื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมมากกว่า 241,000 พาเลท และมีระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล และได้รับใบอนุญาตครบทุกประเภท
เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี มีแผนลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ในธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น โดยตั้งเป้าหมายให้รายได้เติบโตเฉลี่ย 12.8% ต่อปี และตั้งเป้ารายได้ปี 2025 ไว้ที่ 1,100 ล้านบาท
SCGJWD พร้อมใช้ 4 กลยุทธ์หลักในการขยายธุรกิจ Cold Chain ในไทยและอาเซียน
กลยุทธ์ที่ 1 : ขยาย Hub คลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดภูมิภาค
ลงทุนขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใน 8 แห่ง เช่น ปทุมธานี สระบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น และภูเก็ต เป็นต้น โดยจะเพิ่มพื้นที่บริการอีก 24% เป็น 300,000 พาเลทภายในปี 2029
กลยุทธ์ที่ 2 : ขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในอาเซียน
หลังจากร่วมมือกับ SWIFT เพื่อขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในมาเลเซียแล้ว เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี พร้อมมองหาโอกาสไปยัง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ผ่านการทำ M&A
กลยุทธ์ที่ 3 : ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ขยายธุรกิจ และออกแบบโลจิสติกส์โซลูชันตามโจทย์ของลูกค้า
เช่น จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU) ร่วมกันลงทุนสร้างคลังสินค้าห้องเย็นในการจัดเก็บสินค้าปลาทูน่า และร่วมกับ ปตท. (OR) ออกแบบโซลูชันในการจัดส่งสินค้าเบเกอรี่แก่ร้าน Amazon Café กว่า 500 สาขาทั่วประเทศ
กลยุทธ์ที่ 4 : ขยายบริการ End-to-End Supply Chain Solutions ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะกลุ่มเฮลท์แคร์และยา
จากจุดแข็งด้าน Cold Chain ที่มีทั่วประเทศ พร้อมทั้งใบรับรองมาตรฐานครบ ทำให้ เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี สามารถเจาะตลาดกลุ่มยาและเวชภัณฑ์ที่มีกำไรดีได้
นอกจากนี้ SCGJWD ยังนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้ในการเพิ่มความแม่นยำและลดต้นทุน เช่น ระบบการจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) การใช้ AI ช่วยคัดขนาดปลาทูน่า เพิ่มความแม่นยำได้มากกว่า 95% และจะขยายสู่การใช้ AI คัดแยกสายพันธุ์ปลาในปีหน้า
SCGJWD ยังเน้นการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) โดยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาคลังสินค้าห้องเย็นทุกแห่ง และเปลี่ยนมาใช้รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าแทนน้ำมัน ซึ่งตั้งแต่ปี 2560 เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี ลดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า 200 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 33,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมตั้งเป้าสู่ Net Zero เราต้องมาจับตาดูกันในปี 2050 ว่า SCGJWD จะเติบโตได้ตามแผนที่น่าตั้งไว้หรือไม่ แต่เชื่อว่าน่าจะเห็นความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้แน่นอน
อ่านเพิ่ม