รู้มั้ย การลงทุนที่ดีที่สุดไม่ใช่แค่หาตัวไหนให้ผลตอบแทนสูงสุด แต่คือการรู้ว่า เราลงทุนไปทำไม อันนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง! การตั้ง เป้าหมายการลงทุน เลยเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะมาช่วยนำทางชีวิตเราได้ ทำให้เรารู้ว่า โอเค ในอนาคตเราอยากจะทำอะไรต่อ ต้องใช้เงินเท่าไหร่ หรือต้องเก็บเงินกี่ปีถึงจะทำตามเป้าหมายได้
เวลาเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว มันจะเป็นเหมือนเข็มทิศที่ช่วยให้เราไม่หลงทางในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย รู้มั้ยว่าคนส่วนใหญ่ผิดพลาดตรงไหน? พวกเขามักจะเริ่มจากการถามว่า “ลงทุนอะไรดีเหรอ?” แต่ลืมถามตัวเองก่อนว่า “ลงทุนเพื่ออะไร?” ผลลัพธ์ก็คือ มีเงินแล้วแต่ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไรต่อ หรือเลือกการลงทุนที่ไม่เหมาะกับสถานการณ์ของตัวเอง
ซึ่งถ้าใครมีเป้าหมายอยู่ในใจแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้เงินงอกเงยดี พี่ทุยมีคำตอบให้ โดยมีลำดับขั้นตอนคือ
ก่อนอื่น ต้องถามตัวเองให้ชัดเจนก่อน เป้าหมายชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เป้าหมายการเงินก็เลยแตกต่างกันตามไปด้วย รวมถึงเงินแต่ละก้อนก็มีหน้าที่แตกต่างกันไปอีก ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือเราต้องเคลียร์ให้ชัดกับตัวเองว่าเราต้องการอะไรกันแน่ บางคนอยากเก็บเงินเกษียณไว้สบายๆ ในอีก 20-30 ปี บางคนก็อยากมีเงินซื้อบ้านหลังใหม่ในอีก 5 ปี หรือบางคนก็อาจจะกำลังวางแผนมีลูก ก็อาจจะกำลังต้องการสะสมทุนการศึกษา เป็นต้น
นี่ไม่ใช่แค่การฝันเฟื่องนะ แต่ต้องมาคิดเป็นตัวเลขจริงๆ ว่าเป้าหมายนั้นต้องใช้เงินเท่าไหร่ เช่น ถ้าอยากเกษียณแล้วมีเงินใช้เดือนละ 30,000 บาท ก็ต้องคิดว่าต้องมีเงินรวมเท่าไหร่ หรือถ้าอยากซื้อบ้าน 3 ล้านบาท ก็ต้องรู้ว่าเราต้องเก็บเงินเดือนละเท่าไหร่ ถึงจะได้ตามเป้าหมาย
เรื่องเวลาเป็นตัวเกมเชนเจอร์เลย พอรู้เป้าหมายแล้ว เราก็จะเห็นภาพว่ามีระยะเวลาในการลงทุนเท่าไหร่ แล้วนี่แหละที่ทำให้เราเลือกวิธีลงทุนได้ถูกต้อง ถ้าเป้าหมายไกลๆ เช่น เกษียณในอีก 20-30 ปี แบบนี้ก็จะรับความเสี่ยงได้มากหน่อย เราลงทุนหุ้นได้สบายใจ เพราะมีเวลาให้เงินเติบโต แล้วก็รับมือกับความผันผวนระหว่างทางได้ แต่ถ้าจะใช้เงินในอีก 1-2 ปี แปบๆ เดี๋ยวก็ต้องถอนเอาเงินมาใช้แล้ว ถ้าแบบนี้การเอาไปฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตร หรือกองทุนตลาดเงินดีกว่า ปลอดภัยแน่นอน
เพราะธรรมชาติของตลาดมันขึ้นๆ ลงๆ ถ้าเราต้องขายในช่วงที่ตลาดลง ก็อาจจะขาดทุนได้ แต่ถ้าเรามีเวลายาวๆ ตลาดจะค่อยๆ ฟื้นตัว และเงินเราก็จะเติบโตตามไปด้วย
รับความเสี่ยงได้แค่ไหน? ต้องรู้จักเงินของตัวเองให้ดี นี่สำคัญมาก! ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน ทั้งในแง่เงินทองและในแง่จิตใจ บางคนดูเงินลงทุนลดลง 20% แล้วนอนไม่หลับ แบบนี้ไม่ควรไปยุ่งกับหุ้นเสี่ยงสูง แต่ถ้าใครมองว่าการลงทุนคือเกมยาว ผันผวนเป็นเรื่องปกติ ก็ลองเสี่ยงหุ้นหรือกองทุนหุ้นได้
จริงๆ แล้ว ความเสี่ยงมันมีหลายมิติ ทั้งความเสี่ยงจากการที่เงินลงทุนอาจจะลดลง ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และความเสี่ยงจากการที่เราอาจจะไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้น การไม่ลงทุนเลยก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะเงินฝากธนาคารอาจจะไม่ทันเงินเฟ้อ
เมื่อพร้อมแล้วก็ถึงเวลาค่อยมาคิดว่าจะลงทุนอะไร พอทุกอย่างชัดเจนแล้ว การเลือกเครื่องมือลงทุนก็จะง่ายไปโดยปริยาย เพราะเรารู้ชัดเจนแล้วว่า เงินก้อนนี้เราต้องการเอาไปทำอะไร และลงทุนได้เสี่ยงหรือนานมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม หุ้นรายตัว กองทุนดัชนี พันธบัตร หรือแม้แต่อสังหาฯ
ตอนนี้เราไม่ต้องสับสนกับคำถามว่า “ลงทุนอะไรดี” แล้ว เพราะเรารู้ว่าอะไรดีสำหรับเราและเป้าหมายของเรา การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนที่ช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้ ไม่ใช่ตัวที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด!
เป้าหมายการลงทุน ระยะสั้น
เป็นเป้าหมายที่ใช้เงินลงทุนไม่ได้เยอะมาก ลงแป๊ป ๆ ก็ได้เงินมาแล้ว ซึ่งจะเป็นเป้าหมายจำพวกสิ่งที่อยากได้ อยากทำ แต่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ สามารถลงทุนได้ 1-3 ปี เช่น เก็บเงินเที่ยวต่างประเทศ เก็บเงินดาวน์รถ เรียนต่อ อะไรแบบนี้
สำหรับเป้าหมายระยะสั้น พี่ทุยก็จะแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ-ปานกาง และมีสภาพคล่องสูง เช่น
- บัญชีออมทรัพย์
- กองทุนตราสารหนี้เครดิตดี
- กองทุนตลาดเงิน
- กองทุนพันธบัตรรัฐบาล
เป้าหมายระยะกลาง
ลงทุนต้องใช้เงินก้อนใหญ่ สำหรับแผนที่ต้องใช้เงินเยอะ ๆ ทำให้ต้องเก็บเงินนานหลายปี เป็นเป้าหมายที่ต้องมีสิ่งนี้เพื่อทำให้ชีวิตเราดีขึ้น หรือไม่ทำให้เราลำบาก เช่น ดาวน์บ้าน เก็บเงินส่งลูกเรียน หรือแต่งงาน
แนะนำลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงกลาง-สูง ระยะเวลา 3-7 ปี เช่น
- กองทุนรวมผสม
- กองทุนรวมหุ้น
- หุ้นปันผลรายตัว
- กอง REIT
เป้าหมายระยะยาว
สามารถลงทุนได้ยาวมากกว่า 7 ปี หรือจนกว่าจะเกษียณ เน้นเป็นเก็บเงินก้อนใหญ่วางแผนไว้ในอนาคตอีกยาวไกลเป็นสิบปี ยี่สิบปี เช่น เก็บเงินเกษียณ หรือเก็บเงินเป็นมรดกให้ลูกหลาน
แผนระยะนี้สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้ในตอนที่อายุยังน้อย ถ้าอยากรู้ว่าควรลงทุนเท่าไหร่ให้เอา 100-อายุตัวเอง ตัวเลขที่ได้คือเปอร์เซ็นต์การลงทุนในหุ้นที่เราสามารถรับไหว และเมื่ออายุเพิ่มขึ้นก็ปรับพอร์ตให้ความเสี่ยงต่ำลง แนะนำให้ลงทุนใน
- กองทุน RMF
- ทองคำ
- กองทุนรวม S&P 500
- กองทุนรวมหุ้น/กองทุนผสม
- อสังหาริมทรัพย์
- ประกันบำนาญ/ประกันสะสมทรัพย์
- คริปโทฯ
เป้าหมายคือเข็มทิศของเรา ไม่รู้ว่าจะไปไหน ก็ไม่รู้ว่าต้องเดินทางยังไง ใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วจะเตรียมรับมือกับอุปสรรคแค่ไหน การลงทุนที่ดีจริงๆ ไม่ใช่ตัวที่รวยที่สุด แต่เป็นตัวที่ตอบโจทย์ชีวิตเราได้ดีที่สุดต่างหาก จำไว้นะ การลงทุนไม่ใช่การแข่งขันกับใคร แต่เป็นการวางแผนเพื่ออนาคตของตัวเราเอง เริ่มจากเป้าหมายที่ชัดเจน แล้วทุกอย่างจะเดินตามมาเอง!
ติดตามเนื้อหาน่ารู้ได้ที่เพจ Facebook
อ่านบทความเพิ่มเติม