เงินโบนัส ต้องเสียภาษีมั้ย เอาไปต่อยอดอะไรดี?

เงินโบนัส ต้องเสียภาษีมั้ย เอาไปต่อยอดอะไรดี?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • เกณฑ์การจ่ายโบนัสแต่ละบริษัทแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะใช้เป้ากำไร ซึ่งบริษัทอาจไม่จ่ายโบนัสก็ได้ไม่ผิดกฎหมาย
  • เงินโบนัสถือเป็นรายได้ที่ต้องเอาไปคำนวณภาษีเช่นเดียวกับเงินเดือน ถือเป็นรายได้พึงประเมินด้วย
  • หลังแบ่งเงินโบนัสบางส่วนไปจัดการเรื่องภาษี แนะนำให้แบ่งเงิน 40% จัดการหนี้สิน โปะบ้าน, 30% เป็นเงินออมสำรองฉุกเฉิน, 20% ลงทุนเพิ่มความมั่งคั่ง และ 10% ซื้อของไปเที่ยวให้รางวัลชีวิต

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ลุยงานหนักกันมาทั้งปี นอกจากเงินเดือนแล้ว สิ้นปีแบบนี้เหล่ามนุษย์เงินเดือนคงนึกถึง เงินโบนัส กันแน่นอน แต่ได้เงินก้อนทั้งทีจะเอาไปใช้จนเกลี้ยงก็คงน่าเสียดาย จะเอาไปลงทุนก็ไม่รู้ลงทุนอะไรดี

วันนี้พี่ทุยเลยขอมาแนะนำแนวทางการแบ่งเงินโบนัสไปต่อยอดให้ได้ผลดีสุด ที่จะทำให้ชีวิตแฮปปี้ด้วย จะเป็นยังไง เราไปดูพร้อมกันเลย!!

เงินโบนัส คืออะไร ต้องเสียภาษีหรือไม่

คือ เงินที่บริษัทจ่ายให้พนักงานนอกเหนือจากเงินเดือน ซึ่งจะจ่ายเป็นรายปีหรือครึ่งปีขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัท

เกณฑ์การจ่ายโบนัสแต่ละบริษัทแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะใช้เป้ากำไร ซึ่งบริษัทอาจไม่จ่ายโบนัสก็ได้ไม่ผิดกฎหมาย ยกเว้นมีสัญญาว่าจะต้องจ่ายโบนัสให้ลูกจ้างแน่นอนทุกปี

และเงินโบนัสถือเป็นรายได้ที่ต้องเอาไปคำนวณภาษีเช่นเดียวกับเงินเดือน ถือเป็นรายได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) โดยถ้ารับเงินโบนัสปลายปี 2566 ให้นำไปคิดภาษีปี 2566 แต่ถ้ารับเงินโบนัสต้นปี 2567 ให้นำไปคิดภาษีปี 2567

ต่อยอด เงินโบนัส ยังไงให้คุ้มค่า

หลังแบ่งเงินโบนัสบางส่วนไปจัดการเรื่องภาษีแล้ว ส่วนที่เหลือจะจัดสรรยังไงให้คุ้มค่า พี่ทุยมีสัดส่วนที่จะทำให้ทุกคนเอาไปใช้แล้วได้ทั้งความสุขและวางแผนการเงินเพื่ออนาคต

  • จัดการหนี้สิน โปะบ้าน (40%)

เชื่อว่าเมื่อเข้าสู่วัยทำงานมักจะมีหนี้สินตามมาด้วย การมีหนี้สินติดตัวไปนาน ๆ ก็สร้างความไม่สบายใจ เสียดอกเบี้ยอยู่ทุกเดือน พอได้เงินก้อน พี่ทุยขอแนะนำให้เอาไปจัดการหนี้ก่อนเลย

โดยเฉพาะหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงก่อน เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ส่วนถ้าใครมีหนี้บ้านเป็นส่วนหลัก พี่ทุยก็แนะนำให้โปะบ้าน ช่วยลดต้นลดดอกเบี้ย หนี้บ้านลดไวหมดเร็วแบบเห็นได้ชัด

  • เงินออมสำรองฉุกเฉิน (30%)

ส่วนนี้เป็นได้ทั้งเงินออมและเงินสำรองฉุกเฉิน พี่ทุยแนะนำให้แบ่งสำหรับเงินสำรองฉุกเฉินไว้ใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่มีรายได้ประมาณ 6-12 เดือน เผื่อมีเหตุฉุกเฉินต้องใช้สภาพคล่องทันที แต่ถ้ามีเงินสำรองฉุกเฉินพอแล้ว แนะนำให้แบ่งเป็นเงินออมเผื่อใช้ในอนาคต โดยฝากธนาคารให้เงินงอกเงย

  • ลงทุนเพิ่มความมั่งคั่ง (20%)

ได้เงินก้อนทั้งทีก็ต้องแบ่งบางส่วนไปต่อยอดให้เติบโตด้วยการลงทุน วันหนึ่งในระยะยาวอาจได้เอาไปใช้สร้างอนาคต เช่น ทำธุรกิจ ซื้อบ้านสร้าง ทุนการศึกษาบุตร แต่ขึ้นชื่อว่าการลงทุนควรศึกษาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ตัวเองรับได้ ลงทุนแล้วยังสบายใจ

ที่สำคัญการกระจายสัดส่วนไปลงทุนหลายสินทรัพย์อาจไม่ช่วยลดความเสี่ยงเสมอไป เพราะถ้าไปลงทุนสินทรัพย์ไหนก็ตามที่เราไม่รู้จักความเสี่ยงเป็นอย่างดี อาจกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงและความยุ่งยากโดยไม่รู้ตัว

  • ให้รางวัลชีวิต (10%)

ลุยงานกันมาทั้งปีแล้ว ปีหน้าก็ต้องลุยต่อ แต่อย่าลืมให้รางวัลชีวิตบ้าง แบ่งเงินสัก 10% ซื้อของที่อยากได้มาทั้งปีกันหน่อย หรือจะเก็บไว้สำหรับท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ถ้าใครไม่มีแผนใช้จ่ายส่วนนี้ก็โยกเงินไปจัดการหนี้หรือลงทุนก็ได้

ตั้งเป้าหมายการเงินยังไง แบ่งเงินออมเงินลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง

จากข้อมูลต้นปี 2562 จาก Allianz ซึ่งเป็นช่วงก่อน COVID-19 มีการใช้จ่ายปกติ พบว่า 35% ของพนักงานเงินเดือนเอาเงินโบนัสเก็บเป็นเงินออม, 23% เอาไปลงทุน, 21% ใช้หนี้และชำระบัตรเครดิต, 10% ซื้อของขวัญให้ตัวเองและคนสำคัญ

จะเห็นว่าส่วนใหญ่ก็เก็บเงินโบนัสในรูปเงินออมและลงทุน คำถามคือแล้วจะแบ่งเก็บเงินออมและลงทุนเท่าไหร่ดี วางแผนยังไง และลงทุนอะไรให้เหมาะสมกับตัวเอง?

กำหนดเป้าหมายและระยะเวลาใช้เงินที่ชัดเจน

การเก็บเงินโดยไม่มีเป้าหมายและระยะเวลาใช้เงิน ทำให้บางทีเจอสิ่งที่อยากได้ก็อาจเอาเงินออกมาใช้จนหมดโดยคิดว่าเดี๋ยวค่อยเก็บใหม่ ทีนี้พอถึงมีสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในอนาคตเงินอาจไม่พอ พี่ทุยแนะนำให้แบ่งเป้าหมายและระยะเวลาเป็น 3 แบบ

เป้าหมายระยะสั้น ไม่เกิน 1 ปี

ว่ากันตามตรงส่วนนี้เอาไว้ใช้กับสิ่งที่อยากได้ เช่น ซื้อกระเป๋า เสื้อผ้า ท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเงินสำรองฉุกเฉินเผื่อตกงาน พี่ทุยแนะนำให้เก็บไว้กับสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝาก กองทุนรวมตลาดเงิน

เป้าหมายระยะกลาง 1-3 ปี

สำหรับใช้เพื่อสร้างอนาคตหรือภาระหนี้ก้อนใหญ่ เช่น ดาวน์บ้าน ดาวน์รถยนต์ ทุนการศึกษา จัดงานแต่ง แน่นอนว่าแม้จะมีเวลาให้เก็บเงินพอสมควร แต่ต่างก็เป็นเป้าหมายที่สำคัญทั้งนั้น ควรไว้กับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง เช่น กองทุนรวมผสม กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว

เป้าหมายระยะยาว มากกว่า 3 ปี

เป็นเป้าหมายเพื่อสร้างชีวิตในแบบที่อยากได้ เช่น สร้างธุรกิจ, สะสมพอร์ตลงทุนให้มากพอเพื่อหางานที่อยากทำจริงๆ, ซื้อของหรูหราให้รางวัลชีวิต, เก็บเงินไว้วัยเกษียณ ด้วยระยะเวลาที่นาน สามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงปานกลางถึงสูง เช่น กองทุนรวมหุ้น กองทุน RMF ทองคำ สกุลเงินดิจิตอล

ถ้าเก็บเงินแล้วดูจะไม่ถึงเป้าหมาย ควรทำยังไงดี?

แน่นอนว่าหลายคนคงเจอปัญหาเก็บเงินไม่ทันใช้กับเป้าหมาย ถ้าเป็นแบบนี้ทำได้ 2 แนวทาง คือ

  • เก็บเงินเพิ่ม / ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น
  • ลดจำนวนเงินที่ต้องใช้กับเป้าหมาย / เพิ่มเวลาให้เป้าหมาย

พี่ทุยแนะนำให้ใช้การลดจำนวนเงินที่ต้องใช้กับเป้าหมายหรือเพิ่มเวลาให้เป้าหมายก่อน เพราะถ้าเลือกเก็บเงินเพิ่มอาจทำให้สภาพคล่องที่ใช้ได้แต่ละเดือนน้อยลง กระทบการใช้ชีวิตประจำวัน หรือถ้าเลือกลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงมากเกินกว่าที่ตัวเองรับได้

เพราะเงินโบนัสกว่าจะได้ต้องรอเป็นปี พี่ทุยเลยหวังว่าทุกคนจะได้เอาแนวทางการจัดการเงินโบนัสไปใช้ต่อยอดจนได้ผลดีอย่างที่หวังกันไว้ ไม่ควรลงทุนอะไรก็ตามที่มีความเสี่ยงเกินกว่าตัวเองรับได้ ที่สำคัญอย่าลืมแบ่งส่วนเล็ก ๆ ไปซื้อของขวัญเป็นรางวัลให้ตัวเองที่ลุยงานหนักมาทั้งปีด้วย

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile