“ประกันออมทรัพย์” เป็นสินทรัพย์การเงินยอดนิยมตัวหนึ่งที่พี่ทุยเชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีในแง่ของ ‘การออมเงิน’ พร้อมได้รับ ‘ความคุ้มครอง’ และการนำเบี้ยประกันภัยมา ‘ลดหย่อนภาษี’ คำถามที่น่าสนใจ คือ ณ เวลานี้ “ประกันออมทรัพย์” ยังน่าซื้ออยู่มั้ย ? มีข้อดีและข้อจำกัดอะไรที่เราต้องระวังบ้าง ? พี่ทุยสรุปพร้อมยกตัวอย่างแบบประกัน ‘แฮปปี้มีเงินใช้’ จ่ายเบี้ยฯ สั้น 5 ปี คุ้มครองนาน 15 ปี มาให้แล้ว ไปฟังกัน
หนึ่งในสินทรัพย์การเงินที่พี่ทุยเชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักและเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแน่ ๆ ก็คือ “ประกันออมทรัพย์” ที่ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน จะเข้าห้าง เข้าธนาคาร หรือตามสถานที่ต่าง ๆ เราก็มักจะเห็นป้ายโฆษณาเสมอ ๆ
“ประกันออมทรัพย์” เป็นที่รู้กันว่ามีจุดเด่นเรื่องการ “ออมเงิน” พร้อมได้รับความคุ้มครอง สามารถทยอยจ่ายเบี้ยฯ เรื่อย ๆ ตามงวดที่ตกลง จากนั้นก็จะได้เงินคืนตามระยะเวลาของสัญญา
สำหรับพี่ทุยจึงถือว่าเป็นสินทรัพย์การเงินที่อยู่ในระดับความเสี่ยงต่ำ เป็นอีกหนึ่งแหล่งเก็บออมเงินที่น่าสนใจด้วยหลากหลายเหตุผลเลย
ประกันออมทรัพย์ ‘แฮปปี้มีเงินใช้’ จ่ายเบี้ยฯ สั้น 5 ปี คุ้มครองนาน 15 ปี
1. ผลตอบแทนแน่นอน
จุดเด่นหนึ่งของ “ประกันออมทรัพย์” ที่น่าสนใจ คือ เรื่องของผลตอบแทนที่ “แน่นอน” ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมธรรม์นั้น ๆ ได้ และบริษัทประกันที่รับประกันชีวิตไม่ได้มีปัญหาอะไร
ซึ่งบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่หน่อย โอกาสที่จะปิดหนีหรือล้มหายตายจากไปเป็นไปได้ยากมาก ๆ แถมยังมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คอยกำกับดูแลอีกด้วย
เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้นพี่ทุยขอยกตัวอย่างแบบประกัน ‘แฮปปี้มีเงินใช้’ จ่ายเบี้ยฯ สั้น 5 ปี คุ้มครองนาน 15 ปี
1) จ่ายเบี้ยประกันภัย 5 ปี
2) สิ้นปีกรรมธรรม์ที่ 2 , 4 , 6 , 8 , 10 ,12 , 14 รับเงินคืนปีละ 3% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
3) เมื่อครบกำหนดสัญญารับเงินคืน ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 15 500% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
เราจะเห็นได้ว่า ทั้งเรื่อง “ระยะเวลาการจ่ายเบี้ยฯ” และ “เงินคืน” จะกำหนดไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่ทำประกันเลยว่าจะได้รับเงินคืนเท่าไหร่และเมื่อไหร่บ้าง
สำหรับใครที่อยากดูรายละเอียดของแบบประกัน ‘แฮปปี้มีเงินใช้’ จ่ายเบี้ยฯ สั้น 5 ปี คุ้มครองนาน 15 ปี เพิ่มเติมสามารถเข้าไปได้ที่ http://bit.ly/tli_sa-happy_mbff
หมายเหตุ :
-“ไทยประกันชีวิต แฮปปี้มีเงินใช้” เป็นชื่อทางการตลาด ส่วนในกรมธรรม์เป็นชื่อแบบประกัน “ธนทวี 2 15/5 (1)”
-ข้อมูลนี้เป็นเพียงการสรุปเงื่อนไขและความคุ้มครองโดยสังเขป บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขความคุ้มครอง โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณารับประกันของบริษัทฯ ทั้งนี้เงื่อนไขและความคุ้มครองย่างสมบูรณ์จะถูกระบุอยู่ในกรมธรรม์ที่ท่านซื้อไว้เท่านั้น
-ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดของกรมธรรม์ประกันภัยก่อนการตัดสินใจทำประกันภัย
2. ใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ “ประกันออมทรัพย์” เป็นสินทรัพย์การเงินยอดนิยมก็เพราะว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
โดยประกันชีวิตที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
1) ต้องทำกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย
2) แบบประกันภัยที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
3) หากมีเงินคืนระหว่างสัญญา เงินคืนสะสมจะต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันภัยชีวิตรายปี หรือไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันภัยสะสมตามช่วงระยะเวลานั้นๆ
4) แจ้งกับทางบริษัทประกันชีวิตว่าต้องการนำเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
ยิ่งเรามีฐานภาษีสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยทำให้การซื้อ “ประกันออมทรัพย์” เป็นเรื่องที่คุ้มค่าเรื่องของผลตอบแทนมากขึ้น และการที่เราสามารถนำเบี้ยประกันภัยมาลดหย่อนภาษีได้ เปรียบเสมือนกับเราได้ “ส่วนลดเบี้ยประกันภัย” ไปในตัว
สมมติว่าเราจ่ายเบี้ยประกันภัย 30,000 บาท แล้วฐานภาษีเราอยู่ที่ 20% แปลว่าเรารับเงินภาษีคืนมา 6,000 บาท ก็เหมือนกับเราจ่ายเบี้ยประกันภัยเพียง 24,000 บาทเท่านั้น แต่ยังได้รับ “จำนวนเงินเอาประกันภัย” และ “เงินคืน” เหมือนเดิม ซึ่งโดยรวมแล้วเราได้ผลตอบแทนจากการทำประกันมากขึ้น
ดังนั้นใครที่ฐานภาษียิ่งสูง ประกันออมทรัพย์ตัวนี้ก็จะยิ่งช่วยให้เราจ่ายเบี้ยประกันภัยลดลง แต่ผลตอบแทนยังได้เท่าเดิมตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ ก็เลยทำให้ “ผลตอบแทน’ ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
3. สร้างวินัยการออมเงิน
จากเงื่อนไขที่ต้องจ่ายเบี้ยฯ ตามระยะเวลาที่กำหนด เปรียบเสมือนการบังคับให้เราออมเงินไปในตัว เพราะถ้าหากเราไม่ทำตามเงื่อนไข ก็จะทำให้ผลตอบแทนได้น้อยลงหรืออาจถึงขั้นน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายไปเลย
4. เป็นแหล่งเงินสำรองฉุกเฉินได้
อีกหนึ่งเรื่องที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่รู้ก็คือเราสามารถใช้สิทธิ “กู้ยืมเงินตามกรมธรรม์” หรือยืมเงินจากกรมธรรม์ของตัวเราเองได้
เมื่อเราได้ส่งเบี้ยประกันภัยเป็นระยะเวลาหนึ่ง กรมธรรม์ประกันชีวิตจะเกิดมูลค่าที่เรียกว่า “มูลค่าเงินสด” ซึ่งเราสามารถกู้ยืมเงินก้อนนี้ออกมาใช้ในกรณีฉุกเฉินได้ จึงถือว่าเป็นแหล่งเงินสำรองที่ดีอีกก้อนหนึ่งเลย ทั้งนี้ ก่อนจะกู้ยืมเงินอย่าลืมไปอ่านเงื่อนไขกรมธรรม์และศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนด้วยนะ
แต่ก็แน่นอนว่าสินทรัพย์การเงินทุกชนิดไม่ได้มีแต่ข้อดีเท่านั้น ก่อนจะซื้อหรือลงทุนอะไรก็ตาม เราจำเป็นต้องเข้าใจ “ข้อจำกัด” ของสินค้าด้วย อย่าง “ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์” เองก็มีข้อจำกัดเช่นกัน
อย่างแรกก็คือ “สภาพคล่อง” ที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ (มาก) ในแง่มุมนึงก็นับเป็นการช่วยให้เรามีวินัยในการออมมากขึ้น แต่ในกรณีที่เราขาดสภาพคล่องกะทันหันหรือมีเหตุด่วนที่ทำให้ไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้ตามเงื่อนไขอาจจะทำให้ผลประโยชน์เงินคืนที่ได้รับน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่าย
และอีกหนึ่งข้อจำกัด คือ “จำนวนเงินเอาประกันภัย” ที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประกันชีวิตประเภทอื่น ๆ ถ้าหากใครอยากได้จำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับการบริหารความเสี่ยงอาจจะต้องเลือกพิจารณาประกันชีวิตประเภทอื่น ๆ แทน
ถ้าใครอยากเก็บออมเงินในระยะยาว รับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก แล้วยังมองหาตัวช่วยสำหรับการลดหย่อนภาษีไปด้วย ส่วนตัวพี่ทุยมองว่า “ประกันออมทรัพย์” ก็ยังเป็นทางเลือกในการเก็บเงินที่น่าสนใจอยู่นะ
แล้วสำหรับใครที่กำลังมองหา “ประกันออมทรัพย์” ระยะไม่ยาวมากจนเกินไป อีกทั้งยังได้รับเงินก้อนคืน แถมยังลดหย่อนภาษีได้แบบประกัน ‘แฮปปี้มีเงินใช้’ จ่ายเบี้ยฯ สั้น 5 ปี คุ้มครองนาน 15 ปี ก็ดูเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน
สามารถเข้าดูรายละเอียดของประกันออมทรัพย์ออนไลน์และโปรโมชันต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/tli_sa-happy_mbff