ปัจจัยหนึ่งที่กดดันเศรษฐกิจโลกในยุคนี้อยู่เสมอก็คือ “สงครามการค้า” ซึ่งเป้าหมายหลักก็คือ “จีน” ประเทศยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียและปัจจุบันอิทธิพลของจีนก็ได้แผ่ขยายไปทั่วโลก ร้อนถึงบรรดาชาติมหาอำนาจฝั่งตะวันตกที่ต้องวางแผนการเพื่อทอนความร้อนแรงนี่ลง
เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันจีนกลายเป็น “แหล่งเงินทุน” รายใหญ่ที่คอยสนับสนุนแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโลก โดยผ่านความริเริ่มสายแถบและเส้นทาง หรือที่เรียกกันว่า หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (The Belt and Road Initiative : BRI)
ที่ผ่านมาพี่ทุยมักได้ยินบ่อยว่า ถึงแม้จีนจะใจกว้างหว่านเม็ดเงินลงทุนไปให้หลายประเทศกู้ยืมโดยมีเงื่อนไขที่ผ่อนปรนเป็นกรณีพิเศษ แต่ก็มิวายถูกตั้งคำถามถึงเรื่องของความยั่งยืน โดยเฉพาะการทำให้ประเทศกำลังพัฒนาขนาดเล็กเป็นหนี้เกินตัวจนต้องขายสมบัติของชาติทิ้งเพื่อจ่ายหนี้แทน ไปจนถึงการละเลยมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นกลุ่มประเทศตะวันตก อาทิ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (EU) และสหราชอาณาจักร จึงเริ่มนำเสนอแผนส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเลือกใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาได้มีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินเพื่อนำไปพัฒนาประเทศตนเองมากขึ้น
ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นโอกาสที่กลุ่มประเทศตะวันตกจะใช้แผนส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวสกัดกั้นอิทธิพลจีนที่กำลังขยายตัวอย่างร้อนแรง
ซึ่งพี่ทุยขอถือโอกาสนี้มาอัปเดต “แหล่งเงินทุน”จากฝั่งมหาอำนาจตะวันตกให้ได้ทราบไปพร้อม ๆ กัน ดังนี้
1. Build Back Better World (B3W) ของสหรัฐฯ
พี่ทุยขอเริ่มต้นจากแผน “Build Back Better World (B3W)” ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 ประกอบด้วย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น เพื่อเป็นแหล่งทางเลือกใหม่ให้กับประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก เริ่มนำเสนอเป็นครั้งแรกเมื่อกลางปี 2564 ที่ผ่านมาในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ณ สหราชอาณาจักร
แม้แผน B3W จะยังไม่เปิดเผยจำนวนเงินลงทุนออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ได้ระบุถึงแหล่งที่มาของทุนออกมาแล้วว่าจะใช้เงินจากกองทุนการพัฒนาต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วในสหรัฐอย่าง USAID
ส่วนหลักเกณฑ์ของแผน B3W มุ่งสนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อภาระหนี้และภาระทางสังคมแก่ประเทศผู้รับจนมากเกินไป และก่อให้เกิดความเป็นธรรม การสร้างงานในพื้นที่ และไม่พัวพันกับเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น
แผน B3W จะเป็นส่วนที่มาต่อยอดกับแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน Build Back Better ภายในของสหรัฐพอดี ทั้งนี้ สหรัฐฯ เตรียมเปิดตัว B3W ในต้นปี 2565
อ่านเพิ่ม
2. Global Gateway แหล่งทุนใหม่จาก EU
ตามต่อด้วยแหล่งทุนจากสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งใช้ชื่อว่า “Global Gateway” มุ่งส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกเพื่อเร่งฟื้นคืนเศรษฐกิจโลกจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 รวมทั้งแก้ไขปัญหาจากภาวะโลกร้อน
ประเดิมทุนตั้งต้นที่ 3 แสนล้านยูโร (ประมาณ 11.3 ล้านล้านบาท) มีกรอบเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 6 ปี ตั้งแต่ปี 2021 – 2027 โดยมีแหล่งเงินสำคัญจากกองทุนยุโรปเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนพลัส ซึ่งเป็นของธนาคารเพื่อการลงทุนของยุโรป
แผน Global Gateway เน้นการลงทุนใน 5 ด้าน ประกอบด้วย การขนส่งที่เน้นพลังงานสะอาด การศึกษาและการวิจัย สาธารณสุข สิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด และดิจิทัล
ผู้บริหารของ EU ได้เน้นย้ำว่าแผน Global Gateway จะทำให้ทุกฝ่ายเริ่มหันมาสร้างความคิดในการเชื่อมโยงระหว่างกันในโลกใหม่เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า และแผนดังกล่าวจะสนับสนุนโครงการที่มีคุณภาพสูงซึ่งจะต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงหลักการของประชาธิปไตยและความโปร่งใสตรวจสอบได้
อ่านเพิ่ม
3. Clean Green Initiative ของสหราชอาณาจักร
ปิดท้ายด้วยแผนการลงทุนจากสหรัฐราชอาณาจักร ซึ่งได้เสนอ “Clean Green Initiative” ในระหว่างการประชุมแก้ปัญหาโลกร้อนของสหประชาชาติที่สก๊อตแลนด์ เมื่อเดือน พ.ย. 2021 โดยแผนดังกล่าวเป็นความริเริ่มของสหราชอาณาจักรที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ที่เอื้อต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อาทิ การลงทุนในแหล่งพลังงานทางเลือก
แผน Clean Green Initiative มุ่งให้การสนับสนุนไปที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก โดยประเดิมเงินในกองทุนเบื้องต้น 4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.33 แสนล้านบาท)
“แผนเงินทุน” เครื่องมือ “สงครามการค้า”
แผนการลงทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งที่เล่ามาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีวาระที่มุ่งสกัดกั้นอิทธิพลของจีนโดยตรง
เพราะหากว่า กันตรงไปตรงมาแล้วหลักการและค่านิยมต่าง ๆ ที่ระบุออกมาล้วนเป็นสิ่งที่มุ่งโจมตีจุดอ่อนของทุนจีนตามแผน BRI ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การละเลยด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ความไม่โปร่งใส ขาดการมีส่วนร่วมตามหลักการประชาธิปไตย เป็นต้น
ซึ่งในมุมมองของพี่ทุยแล้วเชื่อมั่นว่าในอนาคตอันใกล้การขับเคี่ยวกันระหว่างขั้วอำนาจตะวันตก ที่นำโดยสหรัฐฯ และขั้วอำนาจจีนจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยมีพื้นที่ของประเทศกำลังพัฒนาเป็นสมรภูมิในการประกวดประชันความเป็นเลิศของแผนการลงทุนของตนเอง
หากเปรียบเทียบกลับไปยังบทเรียนในอดีตก็ไม่ต่างจากยุคสงครามเย็นสักเท่าไร เพียงแต่ไม่ได้ฟาดฟันกันในเชิงอุดมการณ์และหยิบอาวุธเข้าห้ำหั่นกันแบบสงครามตัวแทนเท่านั้น เพราะหันมาแข่งกันขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการกีดกันทางการค้าแทน กลายเป็น “สงครามการค้า” แทน
ที่กล่าวมาทั้งหมดพี่ทุยต้องการจะชี้ให้เห็นถึงทิศทางและบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไป ซึ่งย่อมกระทบทิศทางการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น การเตรียมพร้อมและหมั่นติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของสถานการณ์รอบโลกอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยลดความเสี่ยงให้กับแผนการลงทุนของเราได้
อ่านเพิ่ม