วิธีหา หุ้น 10 เด้ง สำหรับมือใหม่ หุ้นไหนที่เติบโตก้าวกระโดด

วิธีหา หุ้น 10 เด้ง สำหรับมือใหม่ หุ้นไหนเติบโตก้าวกระโดด

4 min read  

ฉบับย่อ

  • Rakesh Jhunjhunwala ฉายาบัฟเฟตต์แห่งอินเดีย ได้สร้างพอร์ตการลงทุนจากระดับร้อยไปสู่พันล้านเหรียญในระยะเวลา 30 ปี
  • หุ้น 10 เด้งมีหลักการง่าย ๆ ประกอบด้วย การหาบริษัทมีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ มีฐานะการเงินที่มั่งคงแข็งแกร่ง มีโอกาสทางธุรกิจที่เติบโตต่อไปในระยะยาวลงทุนในบริษัทที่เราเข้าใจ และอดทนรอคอยความสำเร็จ
  • หุ้น 10 เด้งมีอยู่จริงในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ก็มีหุ้นหลายสิบเด้ง เช่น CPN, KTC, AOT เป็นต้น

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

การลงทุนมีอยู่มากมายหลายประเภทบนโลกใบนี้ แต่การลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาวและมีสภาพคล่อง มีแต่เพียงหุ้นเท่านั้น ที่ในระยะยาวสามารถเติบโตได้เป็นหลักร้อยหลักพันเปอร์เซ็นต์ หรือ 10 เด้งนั่นเอง แต่ทั้งนี้แล้วก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับบทความนี้พี่ทุยจะมาช่วยกันบอกเคล็ดไม่ลับด้วยหลักในการเลือก หุ้น 10 เด้ง กัน นักลงทุนมือใหม่ก็สามารถนำไปปรับใช้กันได้

หุ้น 10 เด้ง มีจริงหรือ ดูยังไง?

พี่ทุยขอนำแนวคิดการลงทุนการหา หุ้น 10 เด้ง ของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่แห่งอินเดีย คือ Rakesh Jhunjhunwala มีฉายาว่า Warren Buffett แห่งอินเดีย ที่เงินทุนช่วงเริ่มต้นมีอยู่ประมาณ 100 ล้านเหรียญฯ ในช่วงปี 1985 ผ่านไป 30 ปี เขามีสินทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 1000 ล้านเหรียญ จนติดอันดับมหาเศรษฐีของอินเดียและของโลกไปแล้ว

วิธีการลงทุนของ Rakesh Jhunjhunwala ประกอบด้วย 8 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. อย่าพยายามมองหาหุ้นเด้ง

เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหุ้นตัวไหนจะกลายเป็นหุ้นหลายเด้งต่อไปในอนาคต ถ้ารู้เราคงจะนำเงินมาลงทุนในหุ้นเด้งนี้ทั้งหมดไปแล้ว (ฮ่า) แต่ให้เรายึดหลักการของ Value Investing ดังที่ปู่บัฟเฟตต์ได้บอกไว้ ให้เราลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีศักยภาพในการเติบโตต่อไปในอนาคต แล้วในระยะยาวพอร์ตการลงทุนจะเติบโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ

2. อย่ามองแค่เพียงกำไรสุทธิ ให้มองที่มาของกำไร

คนส่วนมากมักจะมองเพียงกำไรหรือยอดขายในระยะสั้น ๆ เพียงรายไตรมาสเท่านั้น นักลงทุนที่ดีควรจะวิเคราะห์ให้ได้ว่ากำไรนั้นมาจากปัจจัยอะไร แล้วมีความสามารถจะรักษากำไรเติบโตต่อไปในอนาคต ให้มองแค่ระยะกลางถึงยาวไปเลยดีกว่า เทียบภาพกว้างจะเห็นว่าที่ชัดเจนกว่า

3. อย่าไปสนใจว่าหุ้นจะเล็กหรือใหญ่

หุ้นขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับหุ้นทีมีความสามารถในการเติบโต หากบริษัทยังมีโอกาสในการเติบโต สร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิม ๆ ได้ แล้วมีมูลค่าหุ้นยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็น จังหวะนั้นเราสามารถเก็บหุ้นเหล่านี้ไว้ในพอร์ตได้ แล้วรอจนราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าของธุรกิจออกมา

4. ให้ลงทุนในบริษัทที่เข้าใจ

ถ้าเราเข้าใจธุรกิจได้มากเพียงพอ แล้วสามารถคาดการณ์ต่อไปในอนาคตว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค ถ้ายังมีคนใช้สินค้าของบริษัทที่เราถืออยู่ ย่อมจะมีโอกาสเติบโตได้ต่อไปอีก ต่างกันหุ้นที่เป็นแนวแฟชั่น ที่อาจจะมาชั่วคราวแล้วก็ดับสลายไปอย่างถาวร

5. อย่าสนใจหุ้นที่มีรายได้คงที่มากเกินไป

หุ้นบางประเภทอยู่ในธุรกิจที่มีความมั่นคง รายได้คงที่ ไม่ค่อยเติบโตไปไหน อย่างธุรกิจ ไฟฟ้า ประปา หรือสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆที่มักจะมีรายได้ที่แน่นอนในแต่ละปี เพราะราคาหุ้นมักจะสอดคล้องไปกับผลประกอบการของบริษัท ถ้ามีหุ้นที่มีความสามารถในการเติบโตได้แง่ของรายได้และกำไร ย่อมจะมีโอกาสที่ดีกว่าในการหาหุ้นหลายเด้งในอนาคต

6. เจอโอกาสทองแล้วต้องรีบคว้ามัน

บางทีในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก ๆ หุ้นพื้นฐานดี ราคาอาจจะลงมากกว่ามูลค่าที่แท้จริง ดังนั้นนักลงทุนที่เก่ง ๆ มักจะใช้โอกาสทองนี้แหละ ในการเข้าเก็บหุ้น เพราะมองเห็นโอกาสที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of safety) แต่ต้องใช้ความรู้และความกล้าในการซื้อหุ้น บางทีหุ้นดี ๆ ราคาถูก ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ บางทีใช้เวลาหลายปีกว่าจะพบโอกาสนั้นก็เป็นได้

7. ปล่อยให้หุ้นที่เป็นผู้ชนะวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ

ถ้ามีหุ้นเด้งในพอร์ตแล้วต้องขายไปก่อนมั้ย จริง ๆ แล้วยังไม่ต้องรีบขาย อย่าลืมว่าเรากำลังหาหุ้น 10 เด้ง ถ้าหุ้นมันกำลังดีอยู่ เราไม่มีความจำเป็นต้องขายออกไปก่อนเลย เพราะหุ้น 10 เด้งก็สามารถเป็นหุ้น 20-30 เด้งก็เป็นได้ ซึ่งหลักการนี้ต้องใช้ความอดทน มีวินัย และจิตวิทยาในการลงทุนที่ดีมาก ๆ เข้ามาช่วย

8. ให้ลงทุนแบบมุ่งเน้น

Rakesh Jhunjhunwala แนะนำให้เรามุ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่เราเข้าใจเท่านั้น ถ้าต้องการหุ้น 10 เด้ง เพื่อให้พอร์ตเติบโต เขาจะไม่กระจายการลงทุนมากเพื่อแค่ว่าต้องการปกป้องความเสี่ยง แต่เน้นย้ำว่าเราต้องมีความมั่นใจในธุรกิจและบริษัทนั้น ๆ จริง ๆ ว่าเราเข้าใจมากดีพอ แล้วพร้อมที่จะเติบโตไปกับบริษัทที่เราเลือกมาเป็นอย่างดีแล้ว

มี หุ้น 10 เด้ง อะไรบ้าง ในตลาดหุ้นไทย ?

คำตอบคือ มี ขอยกตัวอย่างหุ้น 6 ตัว ที่นักลงทุนรู้จักกัน ยังมีหุ้นอื่น ๆ อีก ลองทำการบ้านกันต่อนะ

หุ้น EA

ปัจจุบันกลุ่มบริษัทดำเนินธุรกิจแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจไบโอดีเซล กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ แต่ที่เด่นที่สุดคงหนี้ไม่พ้นการที่ EA เข้ามาสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องแบบครบวงจร เช่น เรือไฟฟ้า สถานีชาร์จ และรถโดยสารประจำทางพลังงานไฟฟ้า นั่นเอง

โดยที่ราคาหุ้น เมื่อปี 2013 อยู่ที่ประมาณ 6.00 บาท จนราคาล่าสุดอยู่ที่ 98.00 บาท (ณ 6/12/22) เวลาผ่านไป 9 ปี หุ้นขึ้นมามากกว่า 10 เด้ง หรือ ราว ๆ 1,500% ไปแล้ว ! โดยยังเคยทำราคาสูงสุดอยู่ที่ 105.50 บาท เมื่อปลายปี 2021 ด้วย

หุ้น FORTH

ประกอบธุรกิจผลิตตู้สาขาโทรศัพท์ภายใต้เครื่องหมายการค้า FORTH รวมทั้งดำเนินการผลิตและประกอบแผงวงจรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ต่อมาบริษัทมีการขยายสายงานไปยังธุรกิจต่อเนื่องต่าง ๆ หรือ แบรนด์ที่เราเป้นที่รู้จักกันดีอย่าง “ตู้เต่าบิน” และ “ตู้บุญเติม” นั่นเอง

โดยที่ราคาหุ้น เมื่อปี 2006 อยู่ที่ประมาณ 2.50 บาท จนราคาล่าสุดอยู่ที่ 35.00 บาท (ณ 6/12/22) เวลาผ่านไป 16 ปี หุ้นขึ้นมามากกว่า 10 เด้ง หรือ ราว ๆ 1,300% ไปแล้ว ! โดยยังเคยทำราคาสูงสุดอยู่ที่ 64.00 บาท เมื่อต้นปี ก.ย. 2022 ด้วย

หุ้น COM7

ประกอบธุรกิจหลักในการค้าปลีกสินค้าไอที เช่น คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์แบบพกพา โทรศัพท์เคลื่อนที่ แท็บเล็ต และอุปกรณ์ไลฟ์สไตล์ ทันสมัยอีกมากมาย

โดยที่ราคาหุ้น เมื่อปี 2015 อยู่ที่ประมาณ 1.75 บาท จนราคาล่าสุดอยู่ที่ 32.75 บาท (ณ 6/12/22) เวลาผ่านไป 7 ปี หุ้นขึ้นมามากกว่า 10 เด้ง หรือ ราว ๆ 1,700% ไปแล้ว ! โดยยังเคยทำราคาสูงสุดอยู่ที่ 43.50 บาท เมื่อต้นปี 2022

หุ้น CPN

ประกอบธุรกิจพัฒนา-ให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่เป็นธุรกิจหลัก เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม ที่พักอาศัย และศูนย์อาหาร นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (CPNCG) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (CPNREIT) และเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวมฯ และกองทรัสต์ฯ

โดยที่ราคาหุ้น เมื่อปี 2008 อยู่ที่ประมาณ 4.10 บาท จนราคาล่าสุดอยู่ที่ 43.75 บาท (ณ 12/10/20) เวลาผ่านไป 12 ปี หุ้นขึ้นมามากกว่า 10 เด้งไปแล้ว ! โดยยังเคยทำราคาสูงสุดอยู่ที่ 85.50 บาท เมื่อต้นปี 2018

หุ้น KTC

ทำธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (Personal Loan) ธุรกิจบริการรับชำระค่าสาธารณูปโภค ผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดผ่านทางเครือข่าย

โดยที่ราคาหุ้นเมื่อปี 2008 ราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณไม่ถึง 1 บาท เมื่อเวลาผ่านไป 12 ปี หุ้นขึ้นมาราคาอยู่ที่ 37.75 บาท (ณ 12/10/20) ราคาขึ้นไปมากกว่า 10 เด้งเช่นกัน !

หุ้น AOT

ประกอบธุรกิจท่าอากาศยานของประเทศไทย โดยธุรกิจหลักประกอบด้วย การจัดการ การดำเนินงาน และการพัฒนาท่าอากาศยาน โดยมีท่าอากาศยานในความรับผิดชอบ 6 แห่ง คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งนี้ ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ

โดยที่เมื่อปี 2008 ราคาหุ้นลงไปต่ำสุดอยู่ที่ 1.54 บาท เวลาผ่านมา 12 ปี ราคาหุ้นล่าสุดอยู่ที่ 57.50 บาท (ณ 12/10/20) ราคาหุ้นขึ้นมาแล้วมากกว่าหลายสิบเด้ง !

โดยสรุป หุ้น 10 เด้งสามารถเกิดขึ้นได้จริง ดังที่ยกตัวอย่างมาแล้ว เกินหลายสิบเด้งไปแล้ว เพราะฉะนั้นหลักการของการหาหุ้น 10 เด้งแบบสรุปง่าย ๆ คือ การหาบริษัทมีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ มีฐานะการเงินที่มั่งคงแข็งแกร่ง มีโอกาสทางธุรกิจที่เติบโตต่อไปในระยะยาวลงทุนในบริษัทที่เราเข้าใจ และอดทนรอเพื่อให้หุ้นเติบโตได้ 10 เด้งในระยะยาว สู้ต่อไปเพื่อน ๆ นักลงทุน เจอแล้วอย่าลืมมาบอกพี่ทุยด้วยนะ (ฮ่า)

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply