ทองคำ Safe Haven ที่ดีที่สุดในเวลานี้

ทองคำ Safe Haven ที่ดีที่สุดในเวลานี้

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • ปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำในปีนี้ คือ พันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนต่ำ และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลที่ต่ำ ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำนั้นลดลงไปมาก
  • เมื่อการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศไม่ได้ผูกกับ ‘ระบบมาตรฐานทองคำ’ อีกต่อไป ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 3,200%
  • ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ และน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุนในทองคำ คือเรื่อง ‘หนี้ของสหรัฐ’

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

แม้ “ทองคำ” จะสูญเสียบทบาทในฐานะการเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศไปแล้วตั้งแต่ปี 2514 แต่บทบาทที่เข้ามาทดแทน คือ การเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ประเภท Safe Haven ซึ่งถูกคาดหวังว่า ในยามที่ตลาดผันผวน มูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้จะเพิ่มขึ้นได้ หรืออย่างน้อยที่สุดคือสามารถรักษามูลค่าเอาไว้ได้

พี่ทุยจะขอพูดถึงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากการลงทุนใน “ทองคำ” นั้นสูงถึงระดับ 600 – 700% เมื่อครั้งที่ทะยานขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเมื่อปี 2011ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำนั้นสูงถึงระดับ 600 – 700% เมื่อครั้งที่ทะยานขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเมื่อปี 2011 หลังจากปีนั้น ดูเหมือนว่ายุคทองของทองคำจะค่อยๆ เลือนหายไป ก่อนที่กระแสของทองคำจะกลับมาอีกครั้งในปีนี้ หลังจากที่ราคาทองคำทะลุระดับ 1500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นจุดสูงสุดในรอบ 6 ปี คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 18% ในปีนี้

ปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำในปีนี้ คือ พันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนต่ำ และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลที่ต่ำ ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำนั้นลดลงไปมาก เพราะโดยธรรมชาติแล้วการถือครองทองคำทำให้เราเสียโอกาสในการได้ดอกเบี้ยไป ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับเงินดอลลาร์จะมีลักษณะแปรผกผัน หากเงินดอลลาร์อ่อนค่า ทองคำก็มักจะมีมูลค่าสูงขึ้น

แต่นอกจาก 2 ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้แล้ว ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ และน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุนในทองคำ คือเรื่อง ‘หนี้ของสหรัฐ’

เมื่อปี 2011 รัฐสภาของสหรัฐถกเถียงกันในประเด็นการใช้จ่ายที่เหมาะสมของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งบทสรุปในครั้งนั้นคือ การต่อรองเพื่อลดการขาดทุนสะสม แลกกลับการขยายเพดานหนี้ วิกฤตของการขยายเพดานหนี้ในครั้งนั้น ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดไว้ที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ราคาทองคำก็ร่วงกลับลงมาราว 900 เหรียญต่อออนซ์

ข้ามมาในสถานการณ์ปัจจุบัน

คำถามสำคัญคือ เรากำลังเผชิญกับวิกฤตเพดานหนี้ครั้งใหม่อยู่หรือไม่? ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำวิ่งขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง ช่วงต้นปีที่ผ่านมา หนี้ของสหรัฐพุ่งขึ้นชนเพดานอีกครั้งที่ 22.5 ล้านล้านดอลลาร์ และปัญหาที่เกิดขึ้นคือ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งพรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมากอยู่จะไม่ยอมผ่านกฎหมายในเรื่องนี้ นอกจากจะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับตัวเลขงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาลในอีกสองปีข้างหน้าไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มเพดานหนี้ไปเรื่อยๆ ของสหรัฐ ไม่ได้เป็นการการันตีว่าในท้ายที่สุดแล้วหนี้จำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นมานี้จะถูกใช้คืนได้อย่างครบถ้วน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ช่วยผลักดันราคาทองขึ้นมาในรอบนี้

ขณะเดียวกันดูเหมือนว่าในช่วงตั้งแต่ปี 2012 ราคาทองคำเองก็ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่ความเสี่ยงจากภาระหนี้สินของสหรัฐก็ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีสถิติหนึ่งที่น่าสนใจระหว่างอัตราส่วนราคาทองคำต่อตัวเลขเพดานหนี้ ซึ่งค่าเฉลี่ยของทุกๆ 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2483 จนถึงปี 2560 อยู่ที่ 0.11 หากอิงตามตัวเลขนี้ ราคาทองคำก็ควรจะอยู่ที่ประมาณ 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้วยเพดานหนี้ที่ 20 ล้านล้านดอลลาร์

นับตั้งแต่ปี 1970 เมื่อการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศไม่ได้ผูกกับ ‘ระบบมาตรฐานทองคำ’ อีกต่อไป ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 3,200% ขณะที่หนี้ของสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 5,200% ส่วนดัชนีดาวน์โจนส์ปรับตัวขึ้น 2,300% และ GDP ของสหรัฐเติบโตเพียง 1,800%

พี่ทุยว่า ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าราคาทองคำซึ่งควรจะไปทิศทางเดียวกับการก่อหนี้ ยังคงห่างไกลพอสมควร ขณะเดียวกันการถือครองทองคำในช่วงที่ผ่านมา ก็เป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นเสียด้วย และโดยภาพรวมแล้ว หากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้ยังไม่ได้ถูกแก้ไข ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ราคาทองคำจะกลับมาทะยานขึ้นต่อเนื่องได้อีกครั้งด้วย

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply