ถึงสถานการณ์บ้านเมืองจะมาคุ การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย การท่องเที่ยวจะลดลงจนผู้ประกอบการต้องปวดหัวกันแค่ไหน ธุรกิจหนึ่งที่อยู่รอดได้หายห่วงในสมรภูมินี้ก็คือ ธุรกิจค้าปลีกที่เน้นขายของอุปโภคบริโภคที่ทุกคนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และร้านแรกที่ทุกคนคงนึกถึงเพราะเข้าถึงแทบทุกพื้นที่ สินค้า เเละราคาก็มีมาตรฐานก็คือ ร้าน 7-11 ของ บริษัท ซีพีออล จำกัด (มหาชน) หรือที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ตัวย่อว่า “CPALL” และดำเนินกิจการในประเทศไทยมาตั้งเเต่ปี พ.ศ.2532 แล้ว
ปัจจุบันร้าน 7-11 มีจำนวน 11,700 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งจำนวนสาขาที่มากมายขนาดนี้เป็นถึงอันดับ 2 ของโลกเลยนะ เป็นรองเเค่ประเทศญี่ปุ่นที่มีอยู่กว่า 20,000 สาขาเท่านั้น ด้วยอัตราการขยายตัวปีละประมาณ 700-800 สาขาในประเทศไทยก็น่าลุ้นเหมือนกันว่าจำนวนสาขาจะพุ่งเเซงหน้าเป็นอันดับ 1 ของโลกได้มั้ย
ในปี 2562 ที่ผ่านมา คนเข้า 7-11 ทุกสาขารวมกันมากถึง 13 ล้านคนต่อวัน หรือคิดเป็น 1,191.83 คนต่อสาขาต่อวัน โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อสาขาต่อวันอยู่ที่ประมาณ 133,734 บาท มียอดซื้อต่อบิลเฉลี่ยอยู่ที่ 69.34 บาท อาจจะพอจินตนาการได้ว่าถึงแม้จะไม่ได้มีเป้าหมายจะซื้ออะไรก็ตาม แต่เมื่อเดินเข้าร้านไปแล้วก็หยิบอะไรติดไม้ติดมือออกมาด้วยกันทั้งนั้น เป็นกันมั้ย ? ใครไม่เป็นพี่ทุยเป็นนะ ฮ่า ๆ
แต่ล่าสุดก็มีการสะดุดกันบ้างเมื่อมีการประกาศเคอร์ฟิวออกมา โดยเคอร์ฟิวนี้ห้ามประชาชนไม่ให้ออกจากบ้านในเวลา 4 ทุ่มถึงตี 4 ของทุกวัน ในระหว่างวันที่ 3-30 เมษายน 2563 ยกเว้นอาชีพพิเศษบางอาชีพ ดังนั้นร้าน 7-11 จำนวนกว่า 11, 700 สาขาทั่วประเทศ ที่เคยเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ก็เลยต้องปิดให้บริการไปด้วย โดยที่จะปิดร้านตั้งเเต่เวลาประมาณ 3 ทุ่มเพื่อให้พนักงานมีเวลาเตรียมตัวกลับบ้านก่อนเคอร์ฟิว
ก่อนหน้านี้พี่ทุยเคยได้ยินคำท้าบ่อย ๆ ทำนองที่ว่า “เจอกันหลังเซเว่นปิด” ตอนนี้ 7-11 เค้าปิดให้แล้วนะ แต่ถ้าออกมาก็มีหวังละเมิดเคอร์ฟิวอยู่ดี มีอะไรเคลียร์กันทางออนไลน์ Social-Distancing กันไว้ดีกว่า พอร้าน 7-11 กว่า 11,700 แห่งทั่วประเทศต้องปิดเพราะเคอร์ฟิวอย่างนี้ คำถามแรกของผู้ถือหุ้นและผู้ที่อยากจะเข้าถือหุ้นก็คือ จะกระทบรายได้และกำไรขนาดไหน ?
เคอร์ฟิว 4 ทุ่มถึงตี 4 ส่งผลกระทบต่อรายได้ 7-11 ประมาณ 5 %
ในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภคลองถามตัวเองสิว่า เข้าไปใช้บริการร้าน 7-11 ในช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 4 บ่อยแค่ไหน ? ถ้าไม่ใช่ร้าน 7-11 ที่อยู่ตรงละแวกที่อยู่อาศัยของเรา เช่น อยู่ใต้คอนโด อยู่ใกล้บ้านในระยะที่เดินถึง อยู่ใต้หอพักตอนสมัยเรียนมหาลัย การใช้บริการในเวลาดังกล่าวก็คงเป็นเรื่องสะดวกนักและจากสถิติคร่าว ๆ ที่ผ่านมาก็บอกว่า คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้บริการในช่วงเวลาดังกล่าวที่ผ่านมานักเมื่อเทียบกับช่วงเช้าและช่วงบ่าย ดังนั้นเมื่อต้องปิดร้านในช่วงเคอร์ฟิว จึงมีการคาดการณ์ ว่า 7-11 จะสูญเสียรายได้ไปประมาณ 5% เท่านั้น
นอกจากนี้ เมื่อผู้บริโภครู้เเล้วว่าร้านจะปิดช่วงเวลาไหน ก็อาจจะเกิดการซื้อเพื่อกักตุนเอาไว้ก่อน เหมือนที่เราเคยเห็นมาแล้ว และบ่อยครั้งที่การกักตุนเหล่านั้นจะมากเกินจำเป็นและมากกว่าการค่อย ๆ ทยอยซื้อตามปกติเสียอีก อีกทั้งการที่ปิดร้านเร็วก็ยังมีข้อดีเรื่องการประหยัดค่าไฟด้วย
การบริโภคที่ลดลงส่งผลต่อ SSSG ของ CPALL โดยตรง
ก่อนที่จะคุยกันต่อ ขอแนะนำให้รู้จักกับคำศัพท์คำนึง คือ SSSG ที่ย่อมาจาก Same Store Sale Growth หรือการเติบโตของรายได้ต่อสาขา เวลาเราดูหุ้นที่ต้องมีการขยายสาขาเรื่อย ๆ การดูค่า SSSG เป็นอะไรที่สำคัญมาก ซึ่งจะเห็นภาพการเติบโตชัดว่าการเติบโตของรายได้โดด ๆ เพราะว่ารายได้ของกิจการที่เติบโตขึ้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น รายได้เติบโตขึ้นจริง ๆ กำไรพิเศษ หรือการขยายสาขา แต่การคิดอัตราการเติบโตต่อสาขา (SSSG) อย่างนี้จะบอกเราได้ว่า การเติบโตนี้เป็นของจริง ไม่ใช่การเติบโตแบบกลวง ๆ
เนื่องจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในปีนี้ ภาคธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เป็นธุรกิจระดับชาติหรือชุมชนก็ล้วนเเล้วเเต่ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า เมื่อรายได้หดลงก็ต้องมีการรัดเข็มขัดโดยตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก ถึงแม้สินค้าใน 7-11 จะไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย แต่ลองนึกภาพว่าถ้าต้องรัดเข็มขัด ก็ต้องมีการตัดรายการบางอย่างที่มองว่าไม่จำเป็นออกบ้างแหละ เช่น ปกติชอบซื้อขนมทีละเยอะ ๆ พอเจอสถานการณ์อย่างนี้ก็จะซื้อในจำนวนที่น้อยลง และตั้งเเต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน SSSG ของ “CPALL” มักโตน้อยกว่า GDP ประมาณ 0.8 % เพราะเกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคโดยตรง ปีนี้มีการคาดการณ์กันว่า GDP ประเทศจะติดลบ เพราะฉะนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่ SSSG ก็น่าจะลดลงไปด้วยตามระเบียบ
ประเด็นการเข้าซื้อ Tesco Lotus เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
ก่อนหน้านี้ “CPALL” ได้ประมูลซื้อ Tesco Lotus เป็นจำนวนเงิน 10,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 336,400 ล้านบาท โดยจะเข้าถือหุ้น 86.4% ใน Tesco Stores ประเทศไทย และ 100% ใน Tesco Stores ประเทศมาเลเซีย แต่คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับงบการเงินในปีนี้ เพราะยังไม่ได้เกิดการจ่ายเงิน เนื่องจากต้องผ่านการอนุมัติและเจรจาอีกหลายขั้นตอน อีกทั้งอาจจะมีการออกหุ้นกู้มาเพิ่มเพื่อจ่ายเงินลงทุนในส่วนนี้ก็เป็นไปได้เช่นกัน เอาเป็นว่ารอถึงเวลาเเล้วมาดูกันอีกทีนะว่า เรื่องค่าเงินบาทและแนวโน้มรายได้ในช่วงนั้นของเค้าจะเป็นยังไง ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างมาก
Comment