การซื้อ “ของออนไลน์” จะดูแค่ค่าของกับค่าขนส่งไม่ได้นะ อย่าลืมเผื่อค่าภาษีนำเข้าเอาไว้ด้วย บางคนได้ยินข่าวลือมาว่าเป็นการสุ่ม บางทีโดน บางทีไม่โดน ขอบอกเลยว่า จริงๆแล้วต้องจ่าย “ภาษีนำเข้า” กันทั้งนั้น เว้นแต่จะเป็นสิ่งของที่อยู่ในรายการยกเว้น เราจะมาดูกันว่าสินค้ายอดฮิตที่คนนิยมสั่งซื้อกันทางออนไลน์ ต้องเตรียมจ่ายภาษีนำเข้ากันเท่าไหร่..
พี่ทุยเลือกตัวอย่าง TOP 5 มาเป็นกรณีศึกษา ว่าสินค้าแต่ละประเภทนั้นถ้าสั่งออนไลน์เข้ามาในไทย จะเสียภาษีนำเข้าประมาณเท่าไหร่ ต้องเตรียมจ่ายภาษียังไงบ้าง แน่นอนว่าสินค้าต่างประเภท มีการคำนวนภาษีคนละแบบ เช่น ภาษีนำเข้าเสื้อผ้า ไม่เท่ากับภาษีนำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และยังแตกแยกย่อยไปอีกว่าสินค้าชิ้นนั้นคืออะไร ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ และช่องทางในการจ่ายภาษีก็ไม่ได้มีแค่กรมศุลกากรอย่างเดียว
สมัยนี้บางร้านค้ามีการคำนวนภาษีที่ต้องชำระปลายทางให้เสร็จสรรพแล้วสามารถชำระกับบริษัทส่งของอย่าง DHL หรือ FedEx ได้ง่ายๆที่หน้าบ้าน อยากรู้ว่าจ่ายทางไหนได้บ้าง คลิกดูภาพถัดไปได้เลย
*ปล. อัตราภาษีโดยประมาณนี้ พี่ทุยใช้ข้อมูลอ้างอิงจากหมวดต่างๆในเอกสาร ‘พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2559’ สิ่งของบางอย่างในหมวดเดียวกันก็อาจจะมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันได้ ใครที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดาวน์โหลดเอกสารเพื่อหารายละเอียดอัตราภาษีของสินค้าชนิดต่างๆได้ที่เว็บไซต์ของกรมศุลกากรโดยตรงได้ที่ http://www.customs.go.th/
ในกรณีที่ซื้อจากเว็บไซต์แบบมีการคำนวนค่าภาษีมาให้เสร็จสรรพ โดยส่วนมากจะมีให้เลือกชำระภาษีตอนกดซื้อ หรือให้พนักงานขนส่งมาประเมินภาษีให้ที่หน้าบ้านแล้วจ่ายเอาวันรับของ (ส่วนมากจะเป็นขนส่งเอกชนที่มีบริการนี้ให้)
ถ้าสั่งมาแล้วมีใบแจ้งให้ไปรับของที่ไปรษณีย์ ก็จะมีการแจ้งจำนวนภาษีที่ต้องเอาไปจ่าย แน่นอนว่าต้องจ่ายเป็นเงินสด บัตรเครดิตเดบิตพับเก็บไปได้เลย พี่ทุยแนะนำให้กำเงินสดกับพกบัตรประชาชนที่ตรงกับชื่อผู้รับไปด้วย หรือถ้ารับของแทนคนอื่นก็ต้องมีใบมอบอำนาจไปด้วยนะ
ส่วนใครโชคร้ายหน่อย มีใบแจ้งให้ไปรับสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ก็จำเป็นต้องเดินทางไปที่ ‘ฝ่ายบริการศุลกากรไปรษณีย์’ ภายใน 7 วัน ไม่อย่างนั้นจะมีค่าปรับในการเก็บรักษา ยกตัวอย่างในกรุงเทพฯก็จะอยู่ที่แจ้งวัฒนะ ซอย 5 ต้องเตรียมสิ่งต่างๆดังนี้:
- สำเนาบัตรประชาชนพร้อมเซ็นต์กำกับสำเนาถูกต้อง
- รับแบบฟอร์มใบแจ้งรับพัสดุแล้วกรอกข้อมูลให้เรียบร้อย
- เงินสดสำหรับชำระภาษี
- หลักฐานการสั่งซื้อ (ในกรณีถูกประเมิณมูลค่าของสูงเกินจริง)
เตรียมใจ… ระหว่างเปิดกล่องให้พี่ๆเจ้าหน้าที่เค้าประเมินภาษีนำเข้า ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่ประเมินราคาสินค้าสูงกว่าที่เราจ่ายจริง เราต้องมีหลักฐานจำนวนเงินเป็นใบเสร็จหรือเอกสารยืนยันด้วยว่าของชิ้นนี่ซื้อมาเท่าไหร่ จะได้ประเมินราคาได้ถูกต้อง
สุดท้ายนี้ พี่ทุยอยากจะฝากเอาไว้ว่า ถ้าซื้อของที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 บาท ตามกฎหมายยังไงพวกเราก็ต้องมีหน้าที่เสียภาษีนำเข้า ดังนั้นอย่าคิดหาทางเลี่ยงซะให้ยาก ถึงแม้จะมีบางคนเคยเลี่ยงได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นถ้าคิดจะซื้อของจากต่างประเทศเข้ามา ก็อย่าลืมเตรียมเสียภาษีกันด้วยล่ะ