คราวก่อนพี่ทุยพูดถึงวิธีต่าง ๆ ที่สามารถทำกำไรจากการเทรดในตลาดขาลงไปแล้วคร่าว ๆ วันนี้จะมาขอเจาะลึกไปที่การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าหรือที่นิยมเรียกกันว่า TFEX แล้ว TFEX คืออะไร
TFEX ย่อมาจาก Thailand Future Exchange ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ชื่อสินค้า แต่เป็นชื่อของตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าและในตลาดนี้ก็มีสินค้าให้เลือกซื้ออยู่ 8 ประเภทด้วยกัน เช่น SET50 FUTURE, SET50 OPTION, STOCK FUTURE (คือ Single Stock Future ที่พูดถึงไปแล้ว), Gold Future เป็นต้น
แต่ถ้าได้ยินใครพูดถึง TFEX ขอให้เข้าใจตรงกันนะว่า เค้าหมายถึง SET50 FUTURE เท่านั้น เพราะฉะนั้นในบทความนี้พี่ทุยจะขออนุญาตเรียกตามน้ำไปว่า TFEX นะ
TFEX คืออะไร ?
คือ การมัดเอาหุ้นของ 50 กิจการ ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์มามัดรวมกัน ซึ่งก็คือหุ้นที่เราคุ้นหูกันดี เช่น หุ้น PTT ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หุ้น CPALL ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หุ้น AOT ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น แต่อย่าสับสนกับ SET50 ธรรมดานะ เค้ามีชื่อเกือบจะเหมือนกัน แต่มีความต่างอยู่นิดนึง ซึ่งเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า ค่าเบสิส (basis) ราคาของ SET50 FUTURE จึงมักจะไม่เท่ากันกับ SET50
สรุปง่าย ๆ คือ SET50 = SET50 FUTURE + ค่าเบสิส นั่นเอง
การเล่น “TFEX” หรือ SET50 FUTURE คืออะไร ?
พี่ทุยขอแนะนำให้รู้จักคำศัพท์ที่ใช้กันในหมู่เทรดเดอร์ TFEX 2 คำ คือ Long และ Short
1. Long หรือบางทีจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า L คือสถานะที่เปิดเมื่อมองว่าตลาดจะปรับตัวขึ้น
2. Short หรือบางทีจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า S คือสถานะที่เปิดเมื่อเรามองว่าตลาดจะปรับตัวลง
ในกรณีที่เปิดสถานะ Long มา
จะได้กำไรเมื่อตลาดปรับตัวขึ้นมากกว่าจุดที่เปิดสถานะ เช่น เปิดสถานะ Long เมื่อดัชนีตลาดอยู่ ณ 1,000 จุด เมื่อดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเป็น 1,010 จุดก็จะได้กำไร จะขาดทุนเมื่อตลาดปรับตัวลงต่ำกว่าจุดที่เปิดสถานะ เช่น เปิดสถานะ Long เมื่อดัชนีตลาดอยู่ ณ 1,000 จุด เมื่อดัชนีตลาดปรับตัวลงเป็น 990 จุด ก็จะขาดทุนโดยจะกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับ 2 เรื่อง คือ
- จำนวนผลต่างของจุดระหว่างราคาดัชนี ณ ปัจจุบันและราคาดัชนีที่เปิดสถานะ
- จำนวนสัญญา ถ้าอยากได้กำไรมากก็เปิดหลายสัญญา แต่นอกจากจะเพิ่มกำไรเวลาถูกทางเเล้วยังทำให้ขาดทุนเยอะขึ้นเวลาผิดทางด้วยนะ เพราะฉะนั้นตัดสินใจให้ดี
สรุปคือเราสามารถคำนวนกำไรหรือขาดทุนได้อย่างนี้ = (ราคาตอนที่ปิด – ราคาเปิดสถานะ Long) X ตัวคูณดัชนี X จำนวนสัญญา
อย่าเพิ่งขมวดคิ้วกัน พี่ทุยยกตัวอย่างมาเลยดีกว่าจะได้เห็นภาพมากขึ้น เช่น เปิดสถานะ Long มา 5 สัญญาที่ราคาดัชนี 1,000 จุด อีก 10 นาทีต่อมา ตลาดก็ปรับตัวขึ้นไปเป็น 1,010 จุดและเราตัดสินใจปิดสัญญาตรงนี้ เราก็จะได้กำไร = (1,010 – 1,000) X 200 x 5 = 10,000 บาท หรือคิดเป็น 200 บาทต่อจุดและต่อสัญญา ในที่นี้เปิดสถานะมา 5 สัญญาจึงได้กำไร 1,000 บาทต่อจุด
ในกรณีที่เปิดสัญญา Short มา
จะได้กำไรเมื่อตลาดปรับตัวลงต่ำกว่าจุดที่เปิดสถานะ เช่น เปิดสถานะ Short เมื่อดัชนีตลาดอยู่ ณ 1,000 จุด เมื่อดัชนีตลาดปรับลงขึ้นเป็น 990 จุดก็จะได้กำไร จะขาดทุนเมื่อตลาดปรับตัวขึ้นมากกว่าจุดที่เปิดสถานะไป เช่น เปิดสถานะ Short เมื่อดัชนีตลาดอยู่ ณ 1,000 จุด ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเป็น 1,010 จุด ก็จะขาดทุน โดยจะกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับ 2 เรื่องเหมือนกัน จะได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ก็คำนวนได้จาก กำไรหรือขาดทุน = (ราคาเปิดสถานะ Short – ราคาปิด) X ตัวคูณดัชนี X จำนวนสัญญา
ยกตัวอย่างเช่น เปิดสถานะ Short มา 5 สัญญาที่ราคาดัชนี 1,000 จุด อีก 10 นาทีต่อมา ตลาดก็ปรับตัวขึ้นไปเป็น 1,010 จุดและเราตัดสินใจปิดสัญญาตรงนี้ เราก็จะได้ขาดทุน = (1,000– 1,010) X 200 x 5 = -10,000 บาท หรือคิดเป็น 200 บาทต่อจุดและต่อสัญญา ในที่นี้เปิดสถานะมา 5 สัญญาจึงได้ขาดทุนไป 1,000 บาทต่อจุด
ถ้าอยากเล่น TFEX กับเค้าทำอย่างไรดี ?
เราไม่สามารถเล่น TFEX ได้ด้วยบัญชีหุ้นอันเดิมนะ ต้องเปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธ์หรือที่เรียกกันเป็นชื่อเล่นว่า “บัญชี TFEX” เพิ่ม มีโบรคเกอร์ให้เลือกหลากหลายตามความต้องการเลยและค่าคอมมิชชั่นก็ต่างกันออกไป การเปิดบัญชีจะมีการประเมินรัดกุมกว่าการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นธรรมดา เพราะเป็นบัญชีประเภท MARGIN หรือการที่เราวางเงินไว้เพียงเเค่ส่วนนึงตามที่เค้ากำหนด แต่มีอำนาจในการซื้อมากกว่านั้นหลายเท่า พูด ๆ ไปก็คล้าย ๆ กับการใช้บัตรเครดิต แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเดินดุ่ม ๆ เข้าไปเปิดพอร์ต TFEX พี่ทุยขอดึงคอเสื้อกลับมาฟังรายละเอียดที่สำคัญอีกอย่างก่อนนะ อย่างที่เกริ่น ๆ ไปว่าบัญชีประเภทนี้ก็คล้ายกับบัตรเครดิต แล้วเราต้องเอาอะไรไปแลกล่ะ ถึงได้เครดิตนี้มา ?
คำตอบก็คือต้องวางหลักประกันขั้นต่ำหรือ Initial Margin (IM) นะ จะมากน้อยเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับสำนักหักบัญชี ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย ถ้าช่วงไหนมีความผันผวนมาก หลักประกันขั้นต่ำก็จะมากขึ้น ถ้าช่วงไหนมีความผันผวนน้อย ก็จะมีการปรับหลักประกันขั้นต่ำให้น้อยลง หลักประกันขั้นต่ำ (IM) ที่อัพเดทล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563 ของ SET50 FUTURE หรือ TFEX ตามนิยามของคนส่วนมากเท่ากับ 17,080 บาทต่อ 1 สัญญา
นอกจาก Initial Margin (IM) ที่ต้องวางก่อนแล้ว ขอแนะนำให้รู้จักกับ หลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance MarginหรือMM) ซึ่งต้องมีมากกว่า 70% ของหลักประกันขั้นต่ำตลอดเวลา ถ้าต่ำกว่านี้เมื่อไหร่ซึ่งจะเกิดจากผลขาดทุนในพอร์ต (unrealized) มาร์เก็ตติ้งก็จะโทรมาหาเเละขอให้เราเติมเงิน การที่มาร์เก็ตติ้งโทรมาเรียกกันว่า Margin Call
และสุดท้ายหากเรามองผิดทางมาก ๆ และมีราคาเปิดตลาดกระโดดขึ้นหรือลงผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้มาก ๆ ทำให้จำนวนเงินหลักประกันเราลดลงเหลือต่ำกว่า 30% เราก็จะโดนบังคับขาย หรือเรียกว่าโดน Force Sell ซึ่งก็คือการโดนปิดสัญญาไปเลยอัตโนมัติไม่ว่าในตอนนั้นจะขาดทุนเท่าไหร่ หลาย ๆ กรณีนอกจากเงินตรงนั้นหมดไปแล้วยังต้องไปตามใช้หนี้ด้วยนะ ถึงแม้ TFEX จะสร้างผลกำไรได้มากโดยใช้เงินลงทุนน้อย ถ้าวางหลักประกันขั้นต่ำน้อย แต่ถ้าไม่มีวินัย หรือจัดการเงินไม่ดีก็มีโอกาสเป็นหนี้ได้ไม่ยากเลย จะว่าไปแล้ว คุณสมบัติการมีอัตราทด (Leverage) ของเค้าก็เหมือนสเตียรอยด์แหละ ที่ถ้าหากใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว มันก็จะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี ไม่เหมาะสมหรือมากเกินไปก็จะเกิดอาการข้างเคียงต่าง ๆ ได้มากเลย
ฉะนั้นก่อนจะตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ต้องศึกษารายละเอียดเค้าให้ดี ๆ นะ จะได้หลีกเลี่ยงผลข้างเคียงได้ พี่ทุยเตือนแล้วนะ
ติดตามคำศัพท์การเงินอื่น ๆ ได้ที่นี่
Comment