ถึงฤดูลดหย่อนภาษีแล้ว ปีนี้ กองทุน ThaiESG 2567 เพิ่มเพดานการลงทุนเป็น 300,000 ควรซื้อไหมหรือมีการลงทุนลดหย่อนภาษีไหนที่ดีกว่าไปดูข้อมูลกัน
สรุป กองทุน ThaiESG 2567
Thai ESG เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ไทยในบริษัทที่ได้รับการรับรองด้าน ESG คือ Environment Social and Governance คือต้องห่วงใยสิ่งแวดล้อม คิดถึงสังคม และมีธรรมภิบาลที่ดี
กองทุน Thai ESG เริ่มมีนโยบายลดหย่อนภาษีตั้งแต่ปี 2566 ล่าสุดปรับเพดานกลายเป็น 30% ของรายได้และไม่เกิน 300,000 บาท และระยะเวลาถือเหลือเพียง 5 ปี ถือเป็นการกระตุ้นให้เม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ในด้านของผู้ลดหย่อนเองก็ได้รับสิทธิในการลดหย่อนภาษีมากขึ้นแถมไม่ต้องใช้เวลาในการลงทุนนาน
กองทุน ThaiESG 2567 เหมาะกับใคร?
Thai ESG มีนโยบายการลงทุนแบ่งได้ 3 ประเภท คือกองทุนหุ้นไทย กองทุนผสมและกองตราสารหนี้ โดยหากคนที่รับความเสี่ยงไม่ได้ไม่มีความรู้ด้านการลงทุนแนะนำให้ซื้อกองทุนตราสารหนี้เพราะจะสามารถคาดหวังการรักษาเงินต้นได้และได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้าง มั่นคงและสม่ำเสมออยู่ที่ประมาณสองถึง 5%
ในขณะที่กองหุ้นจะลงทุนในหุ้นไทยซึ่งมีความผันผวนสูงกว่าและอาจมีช่วงที่ขาดทุนได้ เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้และคาดหวังว่าหุ้นไทยจะเติบโตในช่วงห้าปีข้างหน้า ส่วนกองทุนผสมคือการผสมระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ บอกกับคนที่ต้องการความเสี่ยงไม่สูงและมีคนคอยปรับสัดส่วนให้ให้เหมาะกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง
ดังนั้น Thai ESG แทบจะตอบโจทย์ทุกคนที่ลดหย่อนภาษีได้เลย ใครที่คาดหวังว่าไทยเติบโตได้ดีในช่วงห้าปีนี้ก็สามารถลงกอง หุ้น Thai ESG ได้เลย แต่ถ้าใครไม่มีความรู้ ไม่มีเวลาติดตามการลงทุน รับความเสี่ยงได้และอยากได้ผลตอบแทนที่สูงหน่อย มีคนจัดการคอยดูแลการลงทุนให้ ก็สามารถเลือกกองทุนผสม มีผู้จัดการกองทุนก็จะสัดส่วนตามสภาวะตลาดให้เหมาะสมกับการลงทุนนั้น
ส่วนถ้าใครรับความเสี่ยงไม่ได้ กลัวจะขาดทุนจากการลงทุน แค่อยากได้สิทธิในการลดหย่อนภาษี ให้เลือกกองทุนตราสารหนี้ เพราะมีโอกาสขาดทุนต่ำ ผลตอบแทนค่อนข้างมั่นคงและได้ลดหย่อนภาษี
Thai ESG จะเป็นเหมือน LTF มั้ย?
หนึ่งในปัญหาคือการกระจุกตัวของการลงทุน เนื่องจาก LTF ออกมาเพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นไทย ทำให้สัดส่วนหลักของการลงทุนมีแค่หุ้นไทย และถึงแม้จะกระจายไปลงทุนตราสารหนี้ได้ ก็มีสัดส่วนที่จำกัด ทำให้กองทุน LTF จะพึ่งพิงดัชนีหุ้นไทยเป็นหลัก
เมื่อกองทุน LTF ไม่ได้ไปต่อในการลดหย่อนภาษี ทำให้เม็ดเงินมหาศาลที่สนับสนุนในตลาดขาดหายไป บวกกับไทยที่เจอทั้งวิกฤต และขาดปัจจัยบวกหนุน ทำให้เม็ดเงินการลงทุนก็ถูกกระจายไปในประเทศอื่นมากขึ้น
ดังนั้น SSF จึงมาตอบโจทย์ปัญหานี้โดยการกระจายการลงทุนที่มากขึ้น ไปในหลากหลายสินทรัพย์ และมีระยะเวลาการลงทุนที่มากขึ้น ก่อนที่รัฐอยากกลับมาผลักดันตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ผ่านกองทุน Thai ESG ที่ช่วงเพิ่มเม็ดเงินในตลาดหุ้นไทย และยังสนับสนุนหุ้นที่ยั่งยืน ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมภิบาลที่ดี
ดังนั้น Thai ESG ก็มีโอกาสที่จะมีภาพเดียวกับ LTF ได้หากดัชนีหุ้นไทยขาดปัจจัยหนุนและไม่ไปต่อ แต่ Thai ESG ก็ยังมีทางเลือกมากขึ้นที่เราสามารถลงทุนในตราสารหนี้ล้วนที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็จะสามารถตอบลดหย่อนภาษีได้เต็มที่ ได้โดยมีความกังวลการขาดทุนที่น้อยกว่ามาก
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังมี Upside ที่ค่อนข้างน้อย เพราะ Earning ในหุ้นไทยไม่ได้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นซักเท่าไหรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังไม่มีเทคโนโลยีที่จะเป็นจุดแข็งดึงความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ ในด้านของการท่องเที่ยวเองก็เติบโตแบบไม่หวือหวา มีตัวเลขนักท่องเที่ยวมากขึ้น แต่ก็ยังเจอปัญหา Zero-Dollar Tours ที่นักท่องเที่ยวจีนเองก็ใช้จ่ายเงินไปกับทุนจีนที่อยู่ในไทย เงินเหล่านี้จึงออกนอกระบบเศรษฐกิจไทย
เทคโนโลยีด้านเศรษฐกิจสีเขียวเป็นหัวใจสำคัญ ถ้าไทยสามารถสร้างโอกาสนี้ได้จะเป็นจุดดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้กลับมาสนใจประเทศไทยอีกครั้ง อีกทั้งไทยเองก็มีหุ้นและกองทุนเกี่ยวกับ ESG เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะเกาะเทรนด์นี้ไปได้ แต่หากมองจากมุมมองตอนนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจนหรือแข็งแรงเลยสำหรับไทย นอกจากเม็ดเงินอัดฉีดจากกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESG ที่จะช่วงพยุงตลาดในช่วงนี้ได้
อ่านเพิ่ม