สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงสินค้าทางการเกษตรซึ่งทั้งสองประเทศต่างเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ จนทำให้ World Bank ออกมาเตือนว่า ปี 2022 โลกกำลังเข้าสู่ภาวะ “วิกฤตอาหารโลก”
ล่าสุดอินเดียเป็นอีกประเทศที่ประกาศห้ามการส่งออกข้าวสาลีชั่วคราวเพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหารในประเทศ เช่นเดียวกับอินโดนิเซียที่ประกาศงดส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อแก้ปัญหาอาหารและสินค้าแพง (ภายหลังอินโดเซียจะยกเลิกการห้ามส่งออกแล้ว เมื่อราคาน้ำมันปาล์มในประเทศเริ่มลดระดับ)
ผลผลิตข้าวสาลีจากรัสเซียและยูเครนซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกรวมกัน 29% ของการส่งออกทั่วโลก หายไปจากห่วงโซ่อุปทาน หลายชาติในเอเชียหันมาซื้อข้าวสาลีจากอินเดีย ส่วนอินโดนิเซียก็เป็นชาติที่ส่งออกน้ำมันปาล์มอันดับ 1 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของการส่งออกทั่วโลก
นอกจากรัสเซีย ยูเครน อินเดีย และอินโดนิเซีย ที่ไม่ส่งออกสินค้าการเกษตรแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องแก้ปัญหาอาหารแพงและความกังวลอาหารขาดแคลน จนต้องงดการส่งออกสินค้าการเกษตรหลายชนิดโดยเฉพาะข้าวสาลี เช่น อียิปต์ คาซัคสถาน เซอร์เบีย และโคโซโว เป็นต้น
หลังตลาดรับรู้ข่าวการงดส่งออกข้าวสาลีของอินเดียและน้ำมันปาล์มของอินโดนิเซีย ราคาข้าวสาลีปรับตัวขึ้นจากระดับประมาณ 1,120 ดอลลาร์ต่อบุชเชล มาแตะระดับสูงสุดที่ 1,270 ดอลลาร์ต่อบุชเชล ส่วนราคาน้ำมันปาล์มจาก 6,230 ริงกิตต่อตัน มาที่ 6,900 ริงกิตต่อตัน แน่นอนว่าต้องกระทบต่อต้นทุนค่าครองชีพ เงินเฟ้อพุ่งสูงต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกันก็มีหุ้นที่ได้ประโยชน์ราคาข้าวสาลีและน้ำมันปาล์มที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน
หุ้นรับอานิสงส์ราคาข้าวสาลีพุ่ง ใน “วิกฤตอาหารโลก” ปี 2022
ถ้านับรวมตั้งแต่ก่อนมีสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ราคาข้าวสาลีเพิ่มขึ้นจาก 700-800 ดอลลาร์ต่อบุชเชล มาถึงทุกวันนี้ที่ประมาณ 1,200 ดอลลาร์ต่อบุชเชล ขึ้นมาแล้วเกือบ 100% ซึ่งในตลาดหุ้นไทยมีบริษัทที่จำหน่ายและส่งออกสินค้าเกษตรที่ได้รับประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม
เริ่มจาก TMILL หรือบริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตแป้งสาลีชั้นนำของไทย เผยว่าไตรมาสที่ 1 รายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 15.8% แม้ปริมาณข้าวสาลีที่ขายได้จะลดลง 14.1% เนื่องจากราคาข้าวสาลีปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กำไรลดลง 62% ซึ่งก็เป็นผลจากต้นทุนของข้าวสาลีที่สูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามบริษัทได้ประโยชน์จากการบันทึกกำไรจากสต็อกสินค้าคงคลังที่ซื้อมาก่อนหน้า ซึ่งจะสต๊อกสินค้าไว้ประมาณ 4-6 เดือน
แต่หากพิจารณาในรายละเอียดพบว่าบริษัทจะรับประโยชน์ต่อไปก็ต่อเมื่อต้องบริหารต้นทุนอย่างเข้มงวดมากขึ้นเพื่อให้กำไรสุทธิกลับมาเติบโต โดย TMILL เผยว่าจะเร่งปรับกลยุทธ์เจรจาลูกค้าขอขึ้นราคาขาย อีกทั้งหลังจากนี้ประโยชน์จากการบันทึกกำไรจากสต็อกสินค้าน่าจะลดลง ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยบวกชั่วคราว
เมื่อหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับข้าวสาลีโดยตรงอาจมีจุดที่น่ากังวล ก็ต้องหันไปหาหุ้นที่มีสินค้าทดแทนอย่าง UBE หรือบริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลัง โดยบริษัทคาดว่าราคาจะเป็นโอกาสให้ลูกค้าหันมาใช้แป้งฟลาวมันสำปะหลังซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัททดแทนแป้งแป้งสาลี เนื่องจากผลิตภัณฑ์แป้งฟลาวมันสำปะหลังสามารถขึ้นรูปทำเบเกอรีได้เช่นเดียวกับแป้งสาลี และยังไม่มีกลูเตนที่ทำให้เกิดอาการแพ้เหมือนในแป้งสาลีอีกด้วย
ดูจากสถานการณ์สงครามและความกังวลของแต่ละประเทศแล้ว ราคาข้าวสาลีน่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง เพราะห่วงโซ่อุปทานค่อนข้างตึงตัวมาก อีกทั้งพร้อมจะมีปัจจัยเชิงลบเข้ามามากกว่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์
หุ้นรับอานิสงส์ราคาน้ำมันปาล์มพุ่ง
ข้อมูลจากกรมการค้าภายในเผยว่าไทยเป็นทั้งผู้ผลิตและส่งออก มียอดส่งออกเพียง 4% นอกนั้นใช้เพื่อการบริโภคและผลิตไบโอดีเซล มีผลผลิตเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอินโดนิเซียและมาเลเซีย มี 4 บริษัทผู้ผลิตน้ำมันปาล์มในตลาดหุ้นไทยที่รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันปาล์มปรับตัวขึ้น
CPI หรือบริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มยี่ห้อลีลา รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร 87% และผลิตเองจากสวนปาล์มของบริษัท 13% ต่อมา VPO หรือบริษัท วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยล์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งรายได้หลักมาจากการขายน้ำมันปาล์มดิบและเมล็ดในปาล์ม
ต่อมาเป็นผู้ผลิตเจ้าของยี่ห้อหยก อย่าง LST หรือบริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบริษัทลูก UPOIC หรือบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ที่มีสัดส่วนรายได้หลักกว่า 80% จากการกลั่นน้ำมันปาล์ม
ท้ายสุด UVAN หรือบริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ที่ประกอบธุรกิจโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มและโรงงานสกัดน้ำมันเมล็ดในปาล์ม
ซึ่งเมื่อมีการเผยข่าวว่าอินโดนิเซียระงับการส่งออกน้ำมันปาล์ม ราคาหุ้นของบริษัทที่กล่าวมาก็ปรับตัวขึ้นตอบรับข่าวทันที
ล่าสุดอินโดนีเซียจะยุติมาตรการระงับการส่งออกน้ำมันปาล์ม ในวันที่ 23 พ.ค. นี้ หลังบังคับใช้มาตรการดังกล่าวนานประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อรักษาเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ
ต้องติดตามต่อว่าปริมาณน้ำมันปาล์มในตลาดโลกที่จะกลับมาเพิ่มขึ้น สามารถตอบสนองต่อความต้องการทั่วโลกได้หรือไม่ หากตอบสนองได้ก็จะส่งให้ราคาน้ำมันปาล์มปรับตัวลง ผลประโยชน์ที่บริษัทซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปาล์มก็จะลดลงเช่นกัน
ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเลวร้ายมากขนาดไหนก็ยังมีทั้งผู้ได้และเสียประโยชน์จากราคาที่ขึ้นลงของทุกสินทรัพย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องหมั่นติดตามข้อมูลเพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าเมื่อไหร่จะเกิดสถานการณ์แบบไหนขึ้น และต้องแบ่งสัดส่วนการลงทุนอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงการกระจายความเสี่ยง
อ่านเพิ่ม
