“วิกฤตอาหาร” กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนล่าสุดที่ทั่วโลกต้องจับตามองหลังจากที่ระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและวัตถุดิบหลายชนิดต่างปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ธนาคารโลกจะออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการ “กักตุนอาหาร” และสินค้าเกษตรเพื่อไว้ใช้ในประเทศตนเอง และหาทางออกร่วมกัน แต่ดูเหมือนว่าหลายประเทศกำลังดำเนินนโยบายตรงข้ามกับคำแนะนำของธนาคารโลกอย่างสิ้นเชิง
เห็นได้จากกรณีล่าสุดที่อินโดนีเซียเพิ่งประกาศงดส่งออกปาล์มน้ำมัน ไปจนถึงฮังการีที่งดส่งออกสินค้าเกษตรหลายรายการแล้ว
วันนี้พี่ทุยจึงขอพาไปดูกันว่ามีประเทศไหนบ้างที่เริ่มงัดมาตรการงดส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารออกสู่ตลาดโลกมาใช้แล้วบ้าง และจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อตลาดโลกและไทยแค่ไหน
ป้องกันสินค้าขาดแคลน ให้คนในประเทศบริโภคก่อน
เป็นที่น่าวิตกอย่างยิ่งหลังจากข้อมูลของสถาบันวิจัยด้านนโยบายอาหารนานาชาติ (International Food Policy Research: IFPRI) เผยให้เห็นว่า จำนวนประเทศที่ใช้มาตรการจำกัดหรืองดส่งออกอาหารมีจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าตัวนับตั้งแต่รัสเซียเริ่มเปิดฉากบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 จาก 3 ประเทศ เป็น 20 ประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศสำคัญอย่าง รัสเซีย ยูเครน อียิปต์ ตูนิเซีย และอินโดนีเซีย
(20 ประเทศ ได้แก่ แอลจีเรีย อาร์เจนตินา บูกินาฟาโซ แคเมอรูน อียิปต์ กานา ฮังการี อินโดนีเซีย อิหร่าน คาซัคสถาน โคโซโว คูเวต คีกิซสถาน เลบานอน ปากีสถาน รัสเซีย เซอร์เบีย ตูนิเซีย ตุรกี ยูเครน)
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครน คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้หลายประเทศต้องเริ่มกักตุนอาหารบางประเภทไว้บริโภคเองในประเทศมากขึ้น เพราะผลพวงของสงครามดังกล่าวทำให้การส่งออกสินค้าจำพวกอาหาร อาทิ ข้าวสาลี ข้าวโพด และน้ำมันและเมล็ดจากดอกทานตะวัน ไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ
โดยเฉพาะในกรณีของยูเครนจำเป็นต้องกักตุนไว้ใช้บริโภคในยามศึกสงคราม ขณะที่รัสเซียได้งดส่งออกไปยังประเทศนอกกลุ่มยูเรเซีย (ยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง) เพื่อตอบโต้ประเทศที่แสดงท่าทีต่อต้านสงครามดังกล่าว
ซึ่งจะว่าไปทั้งรัสเซียและยูเครนต่างก็เป็นผู้ส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก อาทิ น้ำมันจากเมล็ดทานตะวันคิดเป็น 80% ของตลาดโลก ขณะที่ข้าวสาลีคิดเป็น 30% ของตลาดโลก
หลายประเทศที่เคยพึ่งพาการนำเข้าอาหารทั้งจากยูเครนและรัสเซีย โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ เช่น เลบานอน อียิปต์ ตูนีเซีย และแอลจีเรีย จึงต้องประกาศงดส่งออกอาหารบางประเภทไว้ชั่วคราวก่อน เพื่อป้องกันการขาดแคลนสินค้า และลดแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่กำลังพุ่งสูงขึ้นจากภาวะราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแพง
ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่ส่งออกอาหารด้วยกัน
อย่างไรก็ดี แม้ราคาสินค้าอาหารและผลิตผลทางการเกษตร เช่น ข้าวสาลี และข้าวโพดที่สูงขึ้นจะดูเป็นผลดีต่อประเทศที่ส่งออกสินค้าอาหารและเกษตรส่งออกรายอื่น ๆ รวมถึงประเทศที่ขายสินค้าประเภทที่ทดแทนกันได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ซ้ำร้ายกลับจะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนสินค้าในประเทศเสียด้วยซ้ำ
เพราะหากเกิดช่องว่างระหว่างราคาสินค้าที่ขายในประเทศกับที่ขายในต่างประเทศแตกต่างกันมากเกินไป ย่อมทำให้ผู้ผลิตสินค้าอยากนำสินค้าไปขายกับผู้ที่ให้ราคาสูงกว่าเสมอ ซึ่งนั่นก็จะยิ่งทำให้เกิดภาวะความขาดแคลนในประเทศตามมาได้ โดยเฉพาะในประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตจำกัด
ดังนั้นหลายประเทศที่เป็นผู้ส่งออกอาหารที่เหมือนหรือใกล้เคียงกับยูเครนและรัสเซียต่างก็ต้องงัดมาตรการงดหรือจำกัดการส่งออกสินค้าจำพวกอาหารและวัตถุดิบบางประเภทออกมาใช้ก่อนเช่นกัน
ดูได้จากกรณีของอินโดนีเซียผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันปาล์มเบอร์ 1 ของโลก ที่เพิ่งประกาศงดส่งออกน้ำมันปาล์ม เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำมันปาล์มในประเทศ หลังจากที่ราคาในตลาดโลกดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากการที่คนเริ่มหันไปหาซื้อมาใช้เพื่อทดแทนน้ำมันพืชจากดอกทานตะวันที่เริ่มแพงขึ้นและกำลังจะขาดตลาด
การ “กักตุนอาหาร” กระทบโลกและไทยแค่ไหน
มาตรการงดส่งออกอาหารบางชนิดสู่ตลาดโลกของ 20 ประเทศในข้างต้นย่อมส่งผลสะเทือนต่อปริมาณสต็อกอาหารในตลาดโลกไม่น้อย
ซึ่งจะทำให้ราคาอาหารโลกแพงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจนำไปสู่การเกิดภาวะอดอยาก และการจลาจลตามมาในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ เพราะเคยมีบทเรียนมาแล้วจากการลุกฮือของประชาชนในช่วงอาหรับสปริงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
แต่หากจะวิเคราะห์กันลึก ๆ ลงไปแล้ว 5 ประเทศแรกน่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด ประกอบด้วย ทาจิกิสสถาน อุซเบกิซสถาน อาเซอร์ไบจัน เติร์กเมนิสถาน และจอร์เจีย เพราะพึ่งพาการนำเข้าอาหารจำพวกข้าวสาลี ข้าวโพด และน้ำมันพืช เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ดันเป็นกลุ่มสินค้ายอดฮิตที่กำลังห้ามส่งออกโดย 20 ประเทศในข้างต้นเสียด้วย
ในอนาคตพี่ทุยคิดว่า น่าจะมีอีกหลายประเทศที่จะเดินหน้าออกมาตการงดหรือจำกัดการส่งออกอาหารออกสู่ตลาดโลกเพิ่มเติม เนื่องจากแนวโน้มสงครามรัสเซีย-ยูเครนน่าจะยืดเยื้อไปอีกนาน
อีกทั้งต้นทุนการผลิตอาหาร ทั้งค่าปุ๋ยเคมีที่แพงขึ้นจากราคาก๊าซที่สูง รวมถึงค่าขนส่งที่สูงขึ้นย่อมเป็นปัจจัยกดดันให้ความมั่นคงทางอาหารสั่นคลอนมากขึ้น
ในส่วนของไทย นั้น พี่ทุยถือว่าเราโชคดีมาก เพราะแทบจะไม่ได้พึ่งพาการนำเข้าอาหารจาก 20 ประเทศดังกล่าวนั้นเลย โดยมีสัดส่วนเพียง 1% ของการนำเข้าสินค้าอาหารทั้งหมดจากทั่วโลก
นอกจากนี้ ไทยเองก็มีความมั่นคงทางอาหารอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอยู่ในลำดับที่ 9 ของเอเชีย และลำดับที่ 51 จากทั้ง 113 ประเทศทั่วโลก เพราะไทยเป็นประเทศที่สามารถผลิตสินค้าเกษตรและอาหารไว้บริโภคเองได้อย่างสบาย ๆ ซ้ำยังมีล้นเหลือพอที่จะส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศอีกด้วย
ซึ่งภาวะเช่นนี้อาจกลายเป็นโอกาสที่ไทยจะทำรายได้จากการส่งออกอาหารได้มากขึ้น รวมถึงแสดงบทบาทนำในการช่วยเหลือประเทศที่ประสบกับภาวะวิกฤตทางอาหาร
สะท้อนได้จากดัชนีการส่งออกสินค้าประเภทอาหารและผลผลิตทางการเกษตรในเดือน มี.ค. 2565 ที่ขยายตัวมากขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะข้าวที่เพิ่มขึ้นถึง 53.9% และมีประเทศอิรัก สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร เป็นผู้นำเข้าที่เติบโตสูงสุด
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นถึง 27.6% โดยมีสินค้าประเภทไขมันและนำมันพืชและสัตว์เพิ่มขึ้นถึง 350% น้ำตาลทราย 204.3% และมีอินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นผู้นำเข้าที่เติบโตสูงสุด
ถึงอย่างไรก็ดี เราก็ไม่ควรประมาท เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงมาจากต้นทุนการผลิตอาหารส่อเค้าว่าอาจแพงขึ้น โดยเฉพาะราคาปุ๋ย เพราะปัจจุบันราคาปุ๋ยเคมีที่นำเข้ามาจากต่างประเทศปรับขึ้นมากกว่า 10% แล้ว ทั้งนี้ ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยฟอสเฟตมากถึง 45% ของที่ใช้กันอยู่ในทั่วประเทศ
จึงต้องจับตาดูต้นทุนปัจจัยการผลิตอาหารให้ดี นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของต้นทุนค่าขนส่งจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นมากดดัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ราคาอาหารในประเทศเพิ่มสูงขึ้นตามมาได้ด้วย
ส่วนตัวพี่ทุยเอง รู้สึกว่าถึงเเม้ไทยเองก็มีความมั่นคงทางอาหารเเต่การที่ราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้นตลอดตั้งเเต่ปลายปีที่เเล้วจนตอนนี้ ก็กระทบกับค่าครองชีพของคนไทยอย่างมาก ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปว่า มาตราการรัฐที่ออกมาจะช่วยได้มากน้อยเเค่ไหน ยังไงก็ตอนนี้เราคงต้องวางเเผนการเงินตัวเองให้ดีมากขึ้นควบคู่ไปด้วยก่อน
อ่านเพิ่ม