รู้จักกับ "FAANG Stocks" หุ้นแห่งศตวรรษที่ 21

รู้จักกับ “FAANG Stocks” หุ้นแห่งศตวรรษที่ 21

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • “FAANG Stocks” เป็นหุ้นของ 5 บริษัท ทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวพันกับชีวิตของผู้คนในโลกมากที่สุดสำหรับศตวรรษที่ 21 นี้ นั่นคือ Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google
  • หุ้นกลุ่ม “FAANG Stocks” ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี โตเฉลี่ย 35% เทียบกับดัชนี S&P500 ในปีนี้ที่เพิ่มขึ้น 24%
  • แม้บริษัทในกลุ่ม “FAANG Stocks” ทั้ง 5 ราย จะเริ่มเข้าสู่ระยะเติบโตชะลอลงของธุรกิจหลัก แต่ข้อได้เปรียบจากทั้งฐานเงินทุน และฐานลูกค้าที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก น่าจะทำให้เราได้เห็นพัฒนาการในด้านอื่น ๆ ตามมาอย่างต่อเนื่อง

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

10 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนประมาณ 200% เงินลงทุน 1 ล้านบาท ในวันนั้น จะกลายเป็น 3 ล้านบาท ในวันนี้ หากตัดสินใจลงทุนตามดัชนี แต่หากเลือกลงทุนใน “FAANG Stocks” เงินลงทุน 1 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 12 ล้านบาท อะไรคือกองทุนที่ว่านี้กันนะ พี่ทุยจะมาเล่าให้ฟังกันในบทความนี้แหละ

“FAANG Stocks” คือหุ้นอะไร ?

อาจจะไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูกันเท่าใดนัก เพราะนั่นไม่ใช่ชื่อย่อของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็นชื่อย่อของ 5 บริษัท ทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวพันกับชีวิตของผู้คนในโลกมากที่สุดสำหรับศตวรรษที่ 21 นี้ นั่นคือ Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google (บริษัทย่อยของ Alphabet) คือที่มาของชื่อนี้นั่นเอง

ด้วยการแพร่กระจายของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้ฐานลูกค้าของบริษัททั้ง 5 แห่ง เติบโตอย่างก้าวกระโดด ภายในระยะเวลาที่ไม่นานนัก ณ สิ้นปี 2018 มีบัญชีผู้ใช้ Facebook เคลื่อนไหวต่อเดือนถึง 2.3 ล้านบัญชี ดูเหมือนว่าคนอเมริกันกว่าครึ่งประเทศจะใช้ iPhone ของบริษัท Apple และยังไม่รวมถึงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกด้วยนะ และในประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีบัญชี Amazon Prime มากกว่า 100 ล้านคน จากจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 128 ล้านครัวเรือนอีกด้วย ซึ่ง 1 ใน 5 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกา ใช้งานไปกับการชม Netflix ขณะที่ Google มี 8 ผลิตภัณฑ์ ที่มีจำนวนผู้ใช้แต่ละผลิตภัณฑ์มากกว่า 1 พันล้านคน

จากข้อมูลของ The Motley Fool พบว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นทั้ง 5 ตัวนี้ ในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 1,200% (สำหรับ Facebook คำนวณจากราคา IPO หลังเข้าจดทะเบียนในปี 2012) ปัจจัยสำคัญมากอย่างหนึ่งที่ทำให้บริษัทเหล่านี้ประสบความสำเร็จ และสามารถขยายฐานลูกค้าออกไปได้ทั่วโลก เป็นสิ่งที่เกิดมาจากคำว่า ‘Network’

ด้วยลักษณะธุรกิจของบริษัทเหล่านี้ที่แม้ว่าผู้ใช้บริการแต่ละรายจะมีบัญชีแยกจากกันชัดเจน แต่การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้บริการแต่ละรายเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็น Network ที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้แต่ Netflix ซึ่งให้บริการ Streaming ภาพยนตร์และซีรีส์ ซึ่งเป็นบริการที่อาจจะไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับคนอื่นในขณะรับชม แต่กลายเป็นว่าทุกวันนี้ Netflix กลายมาเป็นหนึ่งในหัวข้อที่พูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนไปแล้ว

สำหรับตลอดทั้งปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม FAANG ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี โตเฉลี่ย 35% เทียบกับดัชนี S&P500 ในปีนี้ที่เพิ่มขึ้น 24% แต่ประเด็นที่หลายคนเริ่มตั้งคำถามกันมากขึ้นคือ หุ้นทั้ง 5 ตัวในกลุ่มนี้ จะยังรักษาการเติบโตที่โดดเด่นขนาดนี้ได้ต่อไปอีกหรือไม่ สิ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันในตอนนี้คือ PEG ratio ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดถึงราคาหุ้นเทียบกับแนวโน้มเติบโตของผลประกอบการในอนาคต หากสรุปง่าย ๆ ก็คือระดับ PEG ratio ที่ดีควรจะไม่สูงไปกว่า 1 เท่า และหาก PEG ratio ในระดับ 2 เท่าขึ้นไป จะแสดงถึงราคาที่เต็มมูลค่า

ย้อนกลับมาดู PEG ratio ของหุ้นในกลุ่ม FAANG จากการประเมินโดย Morningstar

หุ้นอย่าง Apple มี PEG 2.26 เท่า Netflix 1.91 เท่า ขณะที่ Alphabet อยู่ที่ 1.69 เท่า Amazon อยู่ที่ 1.15 เท่า ส่วน Facebook อยู่ที่ 1 เท่า ความท้าทายของบริษัทเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นผลจากการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ ๆ เดิมทีในตลาดสมาร์ทโฟน Apple ขับเคี่ยวอยู่กับ Samsung เพียง 2 เจ้าใหญ่ แต่ทุกวันนี้เราได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนเข้ามาร่วมแชร์ส่วนแบ่งมากขึ้น อีกทั้ง Netflix ก็มีเผชิญกับคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นหลายราย อาทิ Disney, Hulu และก็รวมไปถึง Apple และ Amazon อีกด้วย ส่วนบริษัทอย่าง Facebook, Amazon และ Google เริ่มอยู่ในจุดที่จำนวนผู้ใช้บริการไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแบบในอดีต

สิ่งที่น่าจับตาดูหลังจากนี้ คือแผนในการขยายธุรกิจในด้านอื่น ๆ ของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ที่ผ่านมาเราได้ยินบริษัทอย่าง Facebook ต้องการจะเข้าสู่ธุรกิจการเงินผ่านโครงการ Libra ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล ส่วน  Amazon นอกจากจะรุกเข้าสู่ธุรกิจ Streaming ก็ยังเดินหน้าโครงการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม เช่นกัน แล้ว Google ที่เริ่มขยายเข้าไปสู่ธุรกิจเกมอย่างจริงจังด้วย

แม้บริษัทในกลุ่ม “FAANG Stocks” ทั้ง 5 ราย จะเริ่มเข้าสู่ระยะเติบโตชะลอลงของธุรกิจหลัก แต่เชื่อเหลือเกินข้อได้เปรียบจากทั้งฐานเงินทุน และฐานลูกค้าที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก น่าจะทำให้เราได้เห็นพัฒนาการในด้านอื่น ๆ ตามมาอย่างต่อเนื่อง

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply