อย่างที่รู้ๆกันว่าช่วงนี้สถานการณ์โลกไม่ค่อยจะไปได้ดีสักเท่าไหร่ เพราะประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกทะเลาะกัน Trade war ที่ยืดเยื้อมาระยะนึงแล้ว ก็ไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ หนำซ้ำยังเริ่มพัฒนาเปลี่ยนไปเป็น “Tech War” แทนอีกด้วย
สิ่งแรกที่ตอบรับข่าวการที่สหรัฐจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของจีน จาก 10% เป็น 25% ก็คือ เรื่องของค่าเงิน เวลาที่ประเทศไหนเกิดข่าวกลิ่นตุๆอย่างจีนตอนนี้เข้า ค่าเงินสกุลนั้นๆก็จะอ่อนค่าลงไปโดยทันที
พี่ทุยขอเอากราฟคู่สกุล “CNY/THB” ที่เปรียบเทียบระหว่างค่าเงินสกุลหยวนของจีนและค่าเงินสกุลบาทมาให้ดูกันนะ โดยมีเงินหยวนของจีนเป็นค่าเงินพื้นฐาน (Base Currency) ถ้าใครเล่น Forex (ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา) จะรู้อยู่แล้วว่า เมื่อคู่สกุลเงินนี้มีค่าลดลง จะหมายถึงว่าค่าเงินพื้นฐาน (Base Currency) อ่อนค่าลง พูดง่ายๆคือ ในช่วงประมาณ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ เงินหยวนอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก เพราะคนพากันเทขายสกุลหยวน อาจจะเพราะมองว่าข่าวที่เกิดขึ้นทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเค้าคลอนแคลน
อย่าเพิ่งเกาหัวแกร่กๆ ที่เอากราฟค่าเงินมาให้ดู พี่ทุยไม่ได้จะมาพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจโลกอะไรอย่างนี้นะ แต่กำลังเกริ่นนำเพื่อพูดถึง “หุ้น” ในตลาดหุ้นบ้านเราที่อาจจะได้รับผลกระทบจากทั้งเรื่องค่าเงินและเรื่องเศรษฐกิจของเค้านั่นเอง
เพราะเวลาที่เงินอ่อนค่า ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดผลเสียตามมาหลายอย่าง แต่จริงๆแล้ว ไม่ว่าจะอ่อนหรือแข็งค่าก็มีข้อเสียเหมือนกันทั้งนั้น
แต่พี่ทุยขอโฟกัสเฉพาะที่เกี่ยวกับเราก่อน คือ เมื่อค่าเงินเค้าอ่อน ก็เท่ากับเงินของเค้ามีมูลค่าน้อยลง เงินหยวนเท่าเดิมแท้ๆ แต่ใช้แลกเงินต่างชาติได้จำนวนน้อยลง เช่น เมื่อก่อน เอาเงิน 100 หยวนไปแลกเงินไทย อาจจะได้ 500 บาท แต่ตอนนี้ถ้าเอา 100 หยวนมาแลกเงินไทยจะได้แค่ 460 บาท เพราะค่าเงินอ่อนค่าลง ดังนั้นก็อาจจะมีผลให้เค้าเที่ยวเมืองนอกน้อยลง ก็แปลว่าจีนมาเที่ยวไทยน้อยลง แล้วยิ่งไทยที่เกิดเหตุการณ์ “เรือล่มที่ภูเก็ต” เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว
จะเห็นได้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวไทยลดลงอย่างมากตั้งแต่เดือนกรกฎาคมและกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยในช่วงธันวาคม
เกริ่นกันมานานเเล้ว มาดูตัวอย่าง “หุ้น” ที่ค้าขายกับจีนในปริมาณที่มากกันเลยดีกว่า
1. BEAUTY หรือ หุ้นความงามฉายาสวยสังหาร
หุ้นตัวนี้ คือ หุ้น Growth Stock ในใจหลายๆคน รวมถึงบรรดากองทุนต่างๆในหลายปีที่ผ่านมา และขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 23.70 บาท และหลังจากนั้นไม่นาน เค้าก็ถูกเทขายลงมาอย่างรุนแรง จนราคาติดฟลอร์ (ราคาลดลง 30% ภายในวันเดียว ซึ่งตลาดหลักทรัพย์กำหนดเพดานไม่ให้ราคาลดลงมากกว่านี้ใน 1 วัน) เรียกได้ว่าเป็นหุ้นหักปากกาเซียนประจำปีที่แล้วเลย หลายคนที่เชื่อมั่นว่า “หุ้นใน SET50 พื้นฐานดี ไม่มีลงฟลอร์หรอก” คงต้องปรับทัศนคติกันใหม่รัวๆเมื่อเจอคนสวยใจร้าย
บิวตี้มีสัดส่วนรายได้จากการขายในต่างประเทศ แค่ประมาณ 20% ของรายได้เท่านั้น แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า รายได้ที่เกิดจากการขายสินค้าภายในประเทศส่วนหนึ่งก็มาจากชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทย โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งนิยมซื้อสินค้าของบิวตี้ติดไม้ติดมือกลับบ้าน แต่พี่ทุยก็ไม่แน่ใจว่าสัดส่วนตัวเลขตรงนี้มากน้อยขนาดไหนนะ เพราะไม่มีการประเมินไว้เลย ทีนี้พอจำนวนนีกท่องเที่ยวจีนหด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว รายได้และกำไรของบริษัท Growth Stock นี้เลยกระทบนั่นเอง
นอกจากนั้น แว่วๆมาว่า ผู้บริหารตั้งเป้าจะทำให้ยอดขายจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของรายได้ด้วย !
2. DDD ของ บริษัทดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน)
เมื่อพูดถึงบิวตี้ พี่ทุยก็คิดถึงหุ้นความงามตัวนี้ด้วยทันที DDD ก็เป็นอีกหนึ่งหุ้นหฤโหด เค้าเข้า IPO ในตลาดเมื่อปลายปี 2560 ด้วยราคาจอง 53 บาทและมี P/E สูงถึง 54 เท่า ภายในวันแรก และที่ฮือฮา ทำเอาคนที่ไม่ได้ IPO น้ำตาตกตอนนั้นคือ การที่เค้าปิดตลาดในการเทรดวันแรกที่ 85 บาทหรือคิดเป็นผลตอบแทนสูงถึง 60% จากราคา IPO
ถ้าให้มอบตำแหน่งสาขาต่างๆเหมือนบนเวทีนางงาม พี่ทุยขอมอบมงกุฎพร้อมสายสะพายให้นักลงทุนปีที่แล้วในสาขา “การทุบหุ้น P/E สูง” เพราะหลังจากเข้าตลาดมาเรียบร้อยและดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ได้ไม่นาน เค้าก็ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ราคา 15.10 บาทเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา
DDD เหมือน BEAUTY ในแง่ที่ว่าหากดูรายได้ 100% แล้วมีสัดส่วนรายได้จากการขายในต่างประเทศไม่มากนัก แต่ถ้าได้ลองอ่านรายงานประจำปีจะพบว่า บริษัทค่อนข้างเน้นถึงเรื่องนักท่องเที่ยวจีนลด เลยส่งผลถึงรายได้ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงประมาณ 2% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีของปีที่แล้ว และบริษัทก็บอกว่าที่รายได้จากการขายต่างประเทศลดลงถึง 58.32% ก็มีผลจากการขายที่จีนชะลอตัวเนี่ยแหละ
3. CBG ของ บริษัท คาราบาว กรุ๊ป
คาราบาวเป็นหุ้นอีกตัวนึงที่มีราคาลดลงมาก ถ้าคนไม่ได้ดูราคาหุ้นเป็นประจำ ดูราคาของหุ้น CBG ในช่วงเดือนตุลาคมปี 2560 ที่ราคาอยู่ในแดนสามหลักแล้วปิดจอ มาดูราคาหุ้น CBG อีกทีเมื่อปลายปี 2560 ที่ราคาตัวละประมาณ 30 บาท คงอดคิดไม่ได้ว่าหุ้นน่าจะมีการ “แตกพาร์” อย่างแน่นอน
เรามาดูสัดส่วนรายได้ของคาราบาวใน 3 ปีนี้ดีกว่า
จะเห็นได้ว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเครื่องดื่มของคาราบาวขายดีในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างกัมพูชาและพม่า
เรื่องที่น่าสนใจคือ “คาราบาว” คาดหวังกับยอดขายและการเติบโตในจีนค่อนข้างสูง อย่างที่รู้กันว่าจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมาก เลยมีความต้องการในการบริโภคสูง รวมถึงตลาดเครื่องดื่มชูกำลังด้วย ซึ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของจีนมีขนาดใหญ่ถึง 20,000 ล้านกระป๋อง หรือคิดเป็น 50% ของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังทั้งโลก คาราบาวตั้งเป้าว่าในปี 2562 จะต้องทำยอดขายในจีนให้ได้ 200 ล้านกระป๋อง ซึ่งในปี 2561 นี้ คาราบาวมีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของจีนอยู่ 1% แล้ว
ถ้าถามว่า CBG จริงจังกับการขยายตลาดในจีนขนาดไหน พี่ทุยเคยอ่านบทสัมภาษณ์ว่าประธานกรรมการบริษัทถึงขนาดพูดว่า “CBG ฝากอนาคตทั้งหมดไว้ที่จีน” เลยล่ะ
4. TKN เถ้าแก่น้อย
จากสาหร่ายกรอบๆกลายเป็นสาหร่ายกร่อยๆเลยงานนี้ เมื่อการขายที่จีนสะดุด เนื่องจากเรื่องการลอกเลียนแบบสินค้า (ลองไปอ่านบทความเกี่ยวกับ TKN ได้เลย พี่ทุยเคยเขียนเอาไว้แล้ว) ที่รายได้ของ TKN เซ จนราคาหุ้นโดนเทขนาดนี้ ก็เพราะว่าเค้าพึ่งพาต่างประเทศโดยเฉพาะจีนมากๆเลย
เค้าพึ่งพามากขนาดไหน ? ก็ขนาดที่ว่า รายได้ 100 บาทของ TKN เป็นรายได้จากในประเทศ 39 บาท และเป็นรายได้จากต่างประเทศ 61 บาทและใน 61 บาทนี้ เป็นรายได้จากจีนถึงเกือบ 40 บาทเลยแหละ พอๆกับรายได้ที่เค้าสร้างได้จากการขายในไทยเลย พอโดนพี่จีนเตะตัดขา TKN ก็เลยเจ็บหนักและลุกยากหน่อยอย่างนี้แหละ (ฮ่า)
จริงๆแล้วหุ้นที่ทำการค้าขายกับจีนมาก ยังมีอีกหลายตัวนะ พี่ทุยขอแนะนำคนที่คิดจะลงทุนในกิจการใดๆว่าให้ศึกษาให้ดีก่อนว่ารายได้ของเค้ามาจากไหน ปัจจัยอะไรบ้างจะมีผลต่อราคาของหุ้น ถ้าสถานการณ์โลกเป็นอย่างนี้ อะไรจะพัง อะไรจะปัง อย่าเข้าซื้อหุ้นเพียงเพราะว่าเห็นว่ามันถูก เดี๋ยวเหมือนเวลาที่เราซื้อของจาก Duty Free นึกว่าได้ถูกแล้ว แต่กลับเจอของแบบเดียวกันขายใน Lazada Flash Sale แล้วมีราคาถูกกว่าจะหาว่าพี่ทุยไม่เตือนไม่ได้นะ !
Comment