ถ้าเราพูดถึงการเดินทางในกรุงเทพ หนึ่งในตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดและประหยัดเวลาการเดินทางที่สุดคือ รถไฟฟ้า MRT โดยหุ้นที่ทำธุรกิจให้บริการรถไฟฟ้า MRT ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ก็คือ “หุ้น BEM” หรือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) เขาทำอะไร มีความน่าสนใจและน่าลงทุนแค่ไหน วันนี้พี่ทุยได้ทำสรุปมาให้นักลงทุนได้เข้าใจง่าย ๆ กัน
“หุ้น BEM” ทำอะไร ?
ธุรกิจของ หุ้น BEM คือการให้บริการทางพิเศษและระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้า รวมถึงการพัฒนาเชิงพาณิชย์ ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบทางพิเศษและรถไฟฟ้า
นอกจากนั้น ยังสามารถต่อยอดธุรกิจเพิ่มเติมไปยังธุรกิจอื่นที่มีอัตราการเติบโต และอัตราผลตอบแทนที่ดีได้ เช่น โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ การพัฒนาเชิงพาณิชย์ หรือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น โดยมีภาพรวมการประกอบธุรกิจของบริษัท ดังนี้
1. ธุรกิจทางพิเศษ
บริษัทและบริษัทย่อย คือ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จํากัด (NECL) เป็นผู้รับสัมปทานจาก การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในการก่อสร้างและบริหารทางพิเศษรวม 3 สายทาง ได้แก่
1) ทางพิเศษศรีรัช (ส่วนเอบี ส่วนซี และส่วนดี) มีระยะทางรวม 38.4 กิโลเมตร
2) ทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร มีระยะทางรวม 16.7 กิโลเมตร
3) ทางพิเศษอุดรรัถยา มีระยะทางรวม 32 กิโลเมตร
2. ธุรกิจระบบราง
บริษัทเป็นผู้รับสัมปทานการให้บริการเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน แห่งประเทศไทย (รฟม.) จํานวน 2 โครงการ ได้แก่
1) โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีนํ้าเงิน) ระยะทางรวม 48 กิโลเมตร 38 สถานี
2) โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ระยะทางรวม 23 กิโลเมตร เป็นสถานียกระดับทั้งหมด 16 สถานี
3. ธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์
บริษัทและบริษัทย่อย คือ บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จํากัด (BMN) เป็นผู้ดําเนินธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีนํ้าเงิน นอกจากนี้ ในส่วนของทางพิเศษ บริษัทและ NECL ได้ให้บริษัทเอกชนและบุคคลใช้พื้นที่เพื่อดําเนินการในเชิงพาณิชย์เพื่อติดตั้งป้ายรายงานสภาพจราจรและป้ายโฆษณาในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งให้ใช้พื้นที่ทํา ร้านค้าบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทาง และการดําเนินธุรกิจอื่นๆ
โครงสร้างการถือหุ้น ปี 2563 กลุ่มบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM)
บริษัท BEM มีนโยบายการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐานหรือธุรกิจสนับสนุนที่เกื้อหนุนการดําเนินงานของบริษัทและสร้างโอกาสและผลตอบแทนระยะยาวให้แก่บริษัท รวมถึงเป็นแหล่งเงินทุนสํารองสําหรับโครงการในอนาคต โดยบริษัทได้มีการลงทุนที่ได้หลากหลายทั้ง บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จํากัด (NECL) , บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จํากัด (BMN) ,บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จํากัด (มหาชน) (CKP) , บริษัท ทีทีดับบลิว จํากัด (มหาชน) (TTW) และบริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จํากัด (EHSR)
โครงสร้างรายได้ ปี 2563 ของ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BEM)
ผลการดำเนินงานสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 รายได้รวมจำนวน 14,323 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. รายได้จากธุรกิจทางพิเศษ จำนวน 8,145 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 56.90%
2. รายได้จากธุรกิจระบบราง จำนวน 4,520 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 31.5%
3. รายได้จากธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์ จำนวน 825 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 5.8%
4. รายได้อื่น ๆ จำนวน 829 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 5.84%
ผลการดำเนินงาน ปี 2561-2563 ของ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BEM)
หากเรามาดูผลการดำเนินงาน บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) หรือ BEM ในปี 2563 จะเห็นว่า
รายได้รวม 14,323 ล้านบาท ลดลง 29.8% จากปี 2562 อยู่ที่ 20,576 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 2,051 ล้านบาท ลดลง 62.3% จากปี 2562 อยู่ที่ 5,435 ล้านบาท
โดยรายได้ส่วนใหญ่ของ BEM คือธุรกิจทางพิเศษ และ ธุรกิจระบบราง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 89 % ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ผลลัพธ์จึงสะท้อนออกมาในรูปของ “การเดินทางที่ลดลง” ส่งผลให้ผลประกอบการของ BEM ปรับตัวลดลงตามไปด้วยนั่นเอง
รายได้ค่าผ่านทางเฉลี่ยต่อวันและปริมาณรถเฉลี่ยต่อวัน (ธุรกิจทางพิเศษ)
จากกราฟเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารายได้ค่าผ่านทางและปริมาณรถจากธุรกิจทางพิเศษ เฉลี่ยต่อวันลดลงนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2563 จากการแพร่ระบาดของโควิดระลอกแรกในประเทศ และลงมาทำจุดต่ำสุดในเดือนเม.ย. 2563 ที่มีการประกาศ “ล็อกดาวน์” ครั้งใหญ่ และเริ่มมีการฟื้นตัวมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ในเดือน ก.ค.
รายได้ค่าโดยสารเฉลี่ยต่อวันและจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวัน (ธุรกิจระบบราง)
พอมาดูรายได้จากค่าโดยสารและจำนวนผู้โดยสาร “รถไฟฟ้า” จะเห็นว่ามีแนวโน้มใกล้เคียงกับธุรกิจทางพิเศษ ที่มีแนวโน้มลดลงนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2563 จากการแพร่ระบาดของโควิดระลอกแรกในประเทศ และลงมาทำจุดต่ำสุดในเดือนเม.ย. 2563 ที่มีการประกาศ “ล็อกดาวน์” ครั้งใหญ่ และเริ่มมีการฟื้นตัวมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ในเดือน ส.ค.
จุดแข็งของ หุ้น BEM คือเกือบจะเป็นผู้ผูกขาดในธุรกิจ
1. เป็น Defensive Stock หรือหุ้นปลอดภัย
BEM จัดเป็น Defensive Stock หรือหุ้นปลอดภัย เป็นหุ้นที่ทนทานต่อทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าตลาดจะดีหรือแย่ เป็นหุ้นที่พื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ แต่กำไรอาจเติบโตแบบไม่หวือหวานัก
2. มีรายได้ต่อเนื่องจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์และธุรกิจสาธารณูปโภค
บริษัทมีนโยบายการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐานหรือธุรกิจสนับสนุนที่เกื้อหนุนการดําเนินงานของ บริษัทและสร้างโอกาสและผลตอบแทนระยะยาวให้แก่บริษัท รวมถึงเป็นแหล่งเงินทุนสํารองสําหรับ โครงการในอนาคต โดยบริษัทที่ไปร่วมลงทุนได้แก่ NECL BMN CKP TTW และ EHSR
3. ธุรกิจมีคู่แข่งน้อยราย (เกือบผู้ขาด)
ปัจจุบัน บมจ.BEM และ บมจ. BTS Holdings เป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าเพียงสองรายใน ประเทศไทย ในขณะเดียวกันบริษัทยังครองตำแหน่งผูกขาดในเขตทางพิเศษในกรุงเทพ
4. ตอบโจทย์การใช้งานของคนกรุงเทพฯ ที่ส่วนใหญ่เร่งรีบและต้องการหลีกหนีปัญหาลดติด
ในกรุงเทพมีระบบขนส่งมวลชนที่หลากหลายมาก ซึ่งหนึ่งในตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดและประหยัดเวลาการเดินทางที่สุดคือ MRT และผู้สัญจรสามารถหลีกเลี่ยงการจราจร ติดขัดได้โดยใช้บริการทางด่วน
5. มีอำนาจในการควบคุมราคาค่าโดยสาร
การเปลี่ยนแปลงราคาจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อ ผู้ใช้บริการ เนื่องจากทั้งสองธุรกิจของบริษัทจัดเป็นบริการขนส่งมวลชนที่ “จำเป็น” สำหรับผู้สัญจรใน กรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตามบริษัทจัดเก็บค่าโดยสารตามระยะทางการเดินทาง (Distance Related Fare) เพื่อทำให้เกิดความยุติธรรม ต่อผู้โดยสารในการเดินทางในระยะทางที่ต่างกัน
6. ความแข็งแกร่งจากการมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ของประเทศ
บริษัทมีบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยในอดีตจนถึงปัจจุบัน บริษัท ได้มีการว่าจ้าง CK เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและบริหารโครงการเนื่องจาก CK เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ของประเทศ ที่มีศักยภาพมีความรู้ความชำนาญ และคุ้นเคยกับโครงสร้างพื้นฐานทางโยธาของทางพิเศษและโครงการรถไฟฟ้า รวมถึง อุปกรณ์งานระบบต่างๆ เป็นอย่างดี
อัตราส่วนทางการเงิน ของ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BEM)
ในปี 2563 เป็นช่วงที่ราคาหุ้นถูกกดดันจากวิกฤต COVID-19 เนื่องจากทำให้ ปริมาณการเดินทางของผู้ใช้บริการทางพิเศษ และรถไฟฟ้าลดลง ทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ลดลงนั่นเอง
แน่นอนเมื่อกำไรลดลง ROA และ ROE ย่อมมีค่าลดลง ตามหลักการแล้วยิ่งสูง ยิ่งถือว่าบริษัทนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากดูในงบ ปี 2563 แล้วพบว่า ทั้งสองอัตราส่วนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
และเมื่อกำไรลดลงก็ยังทำให้ “กำไรต่อหุ้น (EPS)” ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำลงเมื่อเปรียบเทียบกับงบปี 2562 โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.13 บาท/หุ้น จากงบปี 2562 อยู่ที่ 0.36 บาท/หุ้น
P/E Ratio เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก “กำไรต่อหุ้น (EPS)” ที่ลดลงแต่ราคาหุ้นไม่ปรับลงตามผลประกอบการที่ลดลง เนื่องจากนักลงทุนมองเห็นว่ากำไรมีโอกาสเติบโตในอนาคต เมื่อผลประกอบการในอนาคตออกมากำไรเพิ่มมากขึ้น P/E ของ BEM ก็จะลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมนั่นเอง
P/BV Ratio มีค่าที่สูงกว่า 1 บ่งบอกถึงนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตว่าบริษัทฯจะเติบโตจนมีกำไรสะสมกลับมาช่วยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต เนื่องจาก ในระยะยาว นักลงทุนยังคงเชื่อว่าธุรกิจขนส่งมวลชนจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น จากประสิทธิภาพในการเดินทางในเขตเมือง และโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เปิดบริการเพิ่มขึ้นในอนาคต
สำหรับ D/E Ratio มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจาก BEM เป็นกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง จึงทำให้ D/E Ratio ในปีงบปี 2563 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1.99 เท่า บ่งบอกถึงบริษัทมีหนี้สินรวมมากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น
DIVIDEND YIELD อยู่ที่ 1.81% โดยสังเกตได้ว่า BEM มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอทุกปี บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของแต่ละปี โดยคำนึงถึงผลประกอบการ โครงสร้างและภาระผูกพันทางการเงินการลงทุนตลอดจนความสม่ำเสมอในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น
เป้าหมายและกลยุทธ์ธุรกิจของหุ้น BEM
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์และพันธกิจของบริษัท บริษัทได้กำหนด กลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้
1. ลงทุนในโครงการด้านระบบคมนาคมขนส่ง โครงการ ทางพิเศษ ทางเชื่อม โครงการระบบขนส่งมวลชนระบบราง และโครงการที่เกี่ยวข้องตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้เอกชน เข้าร่วมลงทุน (Public Private Partnership หรือ PPP) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การพัฒนาเชิงพาณิชย์ต่างๆ โดยพิจารณา โครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ และมีผลตอบแทนทางธุรกิจที่เหมาะสม
2. สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจด้วยการสร้างรายได้ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อดำรงฐานะการเงินที่มั่นคง
3. สร้างความผูกพันกับผู้มีส่วนได้เสียโดยผ่านกระบวนการความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) และสื่อสารให้บุคคลภายในและภายนอกองค์กรรับทราบ
4. สร้างบุคลากรที่มีความพร้อมในการให้บริการระบบ ทางพิเศษ และระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าที่มีคุณภาพ
5. สร้างการยอมรับของสังคมให้เกิดการรับรู้ภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร
อนาคตของ BEM จะเป็นอย่างไร มีประเด็นอะไรที่ต้องติดตาม ?
1. การประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
การประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามในปี 2564 เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีส้ม (บางขุนนนท์-มีนบุรี) จะมีส่วนสำคัญในการเข้ามาเชื่อมระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากจะเป็นเส้นที่เชื่อมกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันแล้ว ยังเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเส้นอื่น ๆ ที่ให้บริการและกำลังก่อสร้างอยู่ในปัจจุบัน และหาก BEM คว้างานประมูลดังกล่าวได้จะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่อการเติบโตของ BEM ในระยะถัดไป
2. อายุของสัมปทาน
สัมปทานจากการทาง พิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในการก่อสร้างและบริหารทางพิเศษรวม 3 สายทาง ได้แก่
1) ทางพิเศษศรีรัช (ส่วนเอบี ส่วนซี และส่วนดี) ระยะเวลาสัมปทานสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2578
2) ทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร มีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี สิ้นสุดในวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2585
3) ทางพิเศษอุดรรัถยา ระยะเวลาสัมปทานสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2578
สัมปทานการให้บริการเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน แห่งประเทศไทย (รฟม.) จํานวน 2 โครงการ ได้แก่
1) โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีนํ้าเงิน) รฟม.ได้ขยายสัมปทานให้บีอีเอ็มออกไปอีก 21 ปี จากปี พ.ศ.2572-2593
2) โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี (พ.ศ.2556-2586)
3. สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19
ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วน และผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการระบาดของ COVID-19 โดยเมื่อสถานการณ์คลี่คลายและการฉีดวัคซีนกระจายทั่วถึง ปริมาณการเดินทางและรายได้ของบริษัทจะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
4. การวางแผนฟื้นฟูธุรกิจภายหลังสถานการณ์ COVID-19
จากการที่บริษัทดำเนินธุรกิจด้านการให้บริการ ระบบขนส่งมวลชนโดยเฉพาะธุรกิจรถไฟฟ้า ซึ่งผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้ามีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคระบาดร้ายแรง ส่งผลให้ผู้ใช้บริการอาจเกิดความวิตก กังวลและเกิดความระมัดระวังในการใช้บริการมากยิ่งขึ้น โดยในประเด็นดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานด้านธุรกิจ
ดังนั้น บริษัทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับแนวทาง การดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกันเพื่อให้ผู้ใช้ บริการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเกิดความเชื่อมั่นในการให้ บริการและการดำเนินธุรกิจโดยต้องปฏิบัติตามมาตรการ ด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด และสื่อสารให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทราบเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของระบบรถไฟฟ้า