ในช่วงตลาดมีความผันผวนแบบนี้ การลงทุนธีม Defensive จึงเป็นอะไรที่นักลงทุนมองหา
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท หรือ “WHART” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนสำหรับธีม Defensive ที่สามารถรับมือความไม่แน่นอนของตลาดได้เป็นอย่างดี
ซึ่งกองทรัสต์ WHART ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้มีส่วนร่วมในการเพิ่มทุนในปี 2565 เพื่อลงทุนเพิ่มในอีก 5 โครงการในทำเลที่มีศัยภาพด้านโลจิสติกส์ ที่จะมาช่วยเพิ่มผลตอบแทน โดยประมาณการเงินจ่ายภายหลังการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมอยู่ที่ 0.80 บาทต่อหน่วย พร้อมเพิ่มอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยของลูกค้าให้ยาวขึ้นเป็น 3.55 ปี อีกด้วย
ปี 2022 เป็นปีที่สินทรัพย์เสี่ยงต่างมีความผันผวนสูงมากกว่าปกติ ทั้งจากสงคราม เงินเฟ้อสูง รวมไปถึงนโยบายการเงินแบบหดตัว อย่างการขึ้นดอกเบี้ย และการฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ ล้วนเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก ส่งผลให้ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์มีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเวลานี้ หนึ่งในธีมการลงทุนที่เริ่มได้รับความสนใจ เพื่อให้สามารถรับมือกับความไม่แน่ไม่นอนนี้ได้ พร้อมยังสามารถรักษาเงินในกระเป๋าไม่ให้เสียมูลค่าลงตามเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นได้ก็คือ การลงทุนธีม Defensive
สำหรับ ‘ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท’ หรือ WHART เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนสำหรับคนที่มองหาการลงทุนธีม Defensive ที่สามารถรับมือความผันผวนได้
เนื่องจาก WHART มีการเข้าลงทุนในคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานทั้งแบบ Built-to-Suit และ Ready-Built ที่มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 47,905.54 ล้านบาท มีทรัพย์สินรวม 34 โครงการ และมีพื้นที่อาคารที่สามารถปล่อยเช่าได้ และอยู่ภายใต้การจัดการมากกว่า 1,580,000 ตารางเมตร อีกทั้งยังมีผู้เช่าที่เป็นที่รู้จักและอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มั่นคงและเติบโต
WHART ทางเลือก การลงทุนธีม Defensive สำหรับใครที่อยากเอาชนะเงินเฟ้อ
Highlight สำคัญที่ทำให้กองทรัสต์ WHART โดดเด่นมากกว่า REIT ที่ลงทุนในคลังสินค้ากองอื่น ๆ คือ
1 – กองทรัสต์ WHART มีประวัติการจ่ายผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าหากมองย้อนหลัง 7 ปี จะเห็นได้ว่ากองทรัสต์ WHART มีอัตราการจ่ายปันผลประมาณ 0.75-0.76 บาทต่อหน่วยมาอย่างต่อเนื่องทุกปี รวมถึงช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และตั้งแต่ต้นปีมานี้ มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยสูงถึง 92%
2 – อุตสาหกรรมคลังสินค้ามีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่น่าสนใจ คือ อุตสาหกรรมคลังสินค้า แทบจะไม่ได้ผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาเลย เพราะว่าความต้องการใช้งานคลังสินค้าเพิ่มขึ้นสวนทางกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ
เหตุผลก็เพราะอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้งานคลังสินค้า อย่างกลุ่ม E-Commerce , FMCG , ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PLs) เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ใช้นโยบายปิดเมือง (Lockdown) ซึ่ง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมนี้ ถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของกองทรัสต์ WHART ด้วย
นอกจากนี้กองทรัสต์ WHART ก็ยังมีผู้เช่าชื่อดังชั้นนำอย่าง LAZADA , SHOPEE , TOPS , Unilever , Starbucks และ Kerry ที่มีสัญญาเช่าระยะยาวเรียกว่าไม่ต้องกลัวผู้เช่าจะหายไปไหนเลยก็ว่าได้
3 – สินทรัพย์ของกองทรัสต์ WHART ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์
สินทรัพย์ในพอร์ตของกองทรัสต์ WHART ตั้งอยู่บริเวณโซนบางนา – ตราด และอยุธยาที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อเข้ากรุงเทพฯ หรือจะกระจายสินค้าไปยังภาคต่าง ๆ โซน EEC ที่เป็นฐานการผลิตที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และสามารถเข้าถึงท่าเรือแหลมฉบังได้ง่าย นอกจากนี้ กองทรัสต์เองยังได้ลงทุนในทำเลจังหวัดสมุทรสาครซึ่งเป็นพื้นที่หลักของกลุ่มอาหารทะเลอีกด้วย
4 – กองทรัสต์ WHART มีสัญญาเช่าเฉลี่ยระยะยาวมีความมั่นคงทางรายได้ที่สูง
ณ ปัจจุบันกองทรัสต์ WHART มีอายุสัญญาเช่าคงเหลือเฉลี่ยกับผู้เช่าที่ 3.40 ปี ซึ่งถึงว่าอยู่ในระดับที่สูง ทำให้มีรายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องคอยหาผู้เช่ารายใหม่ ลดความเสี่ยงในการขาดรายได้
ตอนนี้ WHART เตรียมเพิ่มทุนในปี 2565 เพื่อเข้าลงทุนอีก 5 โครงการพื้นที่เช่าอาคารรวม 159,963 ตารางเมตร และมีอัตราการเช่าเฉลี่ยมากถึง 92%
1) WHA Central Mega Logistics Center Wangnoi 63 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พื้นที่เช่า 67,704 ตร.ม.
2) WHA Mega Logistics Center Bangna-Trad km. 23 Project 3 จังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่เช่า 34,001 ตร.ม.
3) WHA Mega Logistics Center Theparak km. 21จังหวัดสมุทรปราการพื้นที่เช่า 30,311 ตร.ม.
4) WHA-KPN Mega Logistics Center Bangna- Trad km. 23 Project 2 จังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่เช่า 19,796 ตร.ม.
5) WHA Signode Factory จังหวัดชลบุรี พื้นที่เช่า 8,151 ตร.ม.
ซึ่งหลังจากการลงทุนเสร็จเรียบร้อยแล้วจะช่วยทำให้รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 3,523/1 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะทำให้ ประมาณการจ่ายประโยชน์ตอบแทน (DPU) เพิ่มขึ้นเป็น 0.80/2 บาท/หน่วย นอกจากนี้ยังช่วยให้สัญญาเช่าเฉลี่ย (WALE) เพิ่มขึ้นจากเดิม 3.40 ปี เป็น 3.55 ปี ซึ่งถือว่าช่วยให้รายได้ของกองทรัสต์ WHART ยิ่งมีความมั่นคงมากขึ้นด้วย
/1 /2 อ้างอิงงบกำไรขาดทุนและการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์สมมติ สำหรับปีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2566 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีแล้ว
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในการเพิ่มทุนในครั้งนี้ สามารถจองซื้อได้ในช่วงเวลา และช่องทางดังนี้
ผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิ สามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 7-11 พ.ย. 2565
ประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นบุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ สามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 15-18 พ.ย. 2565
ช่องทางการจองซื้อ: ผ่านทางเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) และสาขาของธนาคารกสิกรไทย หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-888-8888 กด 819
โดยผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิจะจองซื้อที่ราคาเสนอขายสูงสุดที่ 10 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะมีการคืนส่วนต่างหากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่า
ในส่วนของประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นบุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์จะจองซื้อที่ราคาเสนอขายสุดท้าย โดยราคาเสนอขายสุดท้ายกำหนดโดยกระบวนการ bookbuilding
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าลงทุนใน WHART สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.whareit.com/th/home
หรือ https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=441017&lang=th
คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
อ่านเพิ่ม
