สิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากสำหรับนักลงทุน คือ ต้องมองให้ออกว่าอะไรจะเป็น “โลกแห่งอนาคต” ถ้าเราสามารถคาดการณ์ได้ เราก็จะเลือกการลงทุนที่สอดคล้องกับกระแสแห่งโลกอนาคตนั้นได้
ส่วนตัวพี่ทุยคิดว่า ไม่ว่ายังไงสิ่งหนึ่งที่เป็นโลกแห่งอนาคตที่เราเห็นตรงกันแน่นอน ก็คือ เรื่องของ “โลกดิจิทัล” ที่จะพัฒนาเป็น 5.0 6.0 7.0 ไปเรื่อย ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมากขึ้นจนบางครั้ง เราอาจจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะไปได้ถึงตรงไหน..
ยิ่งโลกเราก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลมากเท่าไหร่ การติดต่อสื่อสารก็ยิ่งจำเป็นต้องผ่านระบบอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเท่านั้น แล้วสิ่งที่อยู่เบื้องหลังระบบอินเทอร์เน็ต และสัญญาณ Wifi รวมถึงการเชื่อมต่อแบบไร้สายต่าง ๆ ที่ช่วยทำให้เรารับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วทันใจก็คือ Optical Fiber Cables (OFC) หรือเส้นใยแก้วนำแสง ที่กำลังเป็นที่นิยมในการติดตั้งเป็นสายในการส่งสัญญาณ
จุดเด่นของ Optical Fiber Cables (OFC) ก็มีมากมายเมื่อเทียบกับสายแบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งได้ในระยะทางที่ไม่จำกัด ไม่มีผลต่อสัญญาณรบกวนต่าง ๆ รวมถึงคุณภาพของ OFC ทำให้ลดพื้นที่การติดตั้งได้หลายเท่าตัว เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว สำหรับพี่ทุยเลยคิดว่า การลงทุนอะไรที่เกี่ยวกับ OFC ระบบการส่งสัญญาณที่ยังไงในอนาคตก็มีความต้องการมากขึ้นอย่างแน่นอน เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ณ ตอนนี้เลย
ถ้าพูดถึงการลงทุนใน OFC ที่ถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบนึงก็คงหนีไม่พ้นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานชื่อติดหูอย่าง JASIF ที่เน้นลงทุนใน OFC เป็นหลัก ปัจจุบันมีการลงทุน OFC ความยาวกว่า 980,500 คอร์กิโลเมตร
ณ ตอนนี้ JASIF ได้ขยายสัญญาเช่าหลักสำหรับ OFC จำนวนร้อยละ 80 ของ OFC ที่ลงทุนอยู่ จากเดิมที่กำลังหมดสัญญาในปี พ.ศ. 2569 เป็นปี พ.ศ. 2575 ด้วยก็จะช่วยทำให้โอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงได้รับสิทธิสัญญาขยายต่ออีก 10 ปีด้วย
ซึ่ง JASIF กำลังเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Right Offering) เพื่อนำเงินไปลงทุนใน OFC เพิ่มเติมอีกไม่เกิน 700,000 คอร์กิโลเมตร โดยมูลค่าการเข้าลงทุนคาดว่าไม่เกิน 38,000 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่ม) โดยจะแบ่งเป็นการเพิ่มทุนไม่เกิน 22,500 ล้านบาท แต่ที่เหลือในเงินกู้จากสถาบันการเงินอีกไม่เกิน 18,160 ล้านบาท (ซึ่งแบ่งเป็นเงินกู้สำหรับการซื้อทรัพย์สินจำนวนไม่เกิน 15,500 ล้านบาท และเงินกู้สำหรับชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อทรัพย์สินส่วนเพิ่มครั้งนี้จำนวนไม่เกิน 2,660 ล้านบาท)
ทางผู้บริการกองทุนมองว่า เนื่องจากการเข้าซื้อ OFC ครั้งนี้เพิ่งใช้งานมาได้เพียง 1-3 ปี ยังเหลืออายุใช้งานได้อีก 35-40 ปี ถ้าหากมีการบำรุงรักษาอย่างดี
ซึ่งจะทำให้ JASIF มีการลงทุนใน OFC ยาวประมาณ 1,680,500 คอร์กิโลเมตร คาดการณ์รายได้เพิ่มขึ้นสูงถึง 8,277 ล้านบาท จากการคำนวณหลังการเพิ่มทุนครั้งนี้จะช่วยทำให้ JASIF มี DPU ที่สูงจาก 0.99 บาทต่อหน่วยเป็น 1.04 บาทต่อหน่วย (บนสมมติฐานว่า JASIF ออกหน่วยลงทุนใหม่จำนวน 2,500 ล้านหน่วย)
คาดการณ์ว่าในปี 2019 JASIF น่าจะมี Dividend Yield สูงถึง 8.67% และ 9.2% ในปี 2020 ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก
แนวโน้มในอนาคตน่าจะต้องมีการลงทุน OFC อีกเรื่อย ๆ เพราะช่วงที่ผ่านมาก็เห็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานหลาย ๆ กองทุน ออกมาเพิ่มทุนเพื่อไปลงทุนในสายสัญญาณพวกนี้อย่างต่อเนื่องเลย ตราบใดที่เรายังตื่นมาหยิบมือถือ ท่องโลกออนไลน์กันอย่างต่อเนื่อง ยังไง OFC ก็ยังเป็นที่ต้องการ ความต้องการในโครงสร้างพื้นฐานพวกนี้ก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
สำหรับใครที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ได้เลย คลิก www.jas-if.com
Comment